ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 8.45 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย ได้ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบแล้วด้วยโรคมะเร็งตับ ด้วยวัย 74 ปี โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์เป็นระยะเวลานาน
หากมีรายละเอียดความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป…
ปิดฉาก “สมัคร สุนทรเวช” 1 นายสมัคร สุนทรเวช เกิดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2478 หน้าวังบางขุนพรหม ริมถนนสามเสน เป็นบุตรของนายเสมียน สุนทรเวช ซึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายเป็น เสวกเอกพระยาบำรุงราชบริพาร และคุณหญิง บำรุงราชบริพาร เป็นหลานลุงของ มหาเสวกตรี พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) นายแพทย์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นหลานตาของมหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) จิตรกรประจำสำนัก ประวัติการศึกษา ช่วงก่อนประถม ศึกษาที่ โรงเรียนสตรีบางขุนพรหม จากนั้นจึงมาต่อที่โรงเรียนเทเวศน์ศึกษา โรงเรียนเซนต์คาเบรียล โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ และเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ ยังศึกษาเพิ่มเติม คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,BRYANMT &STRATION INSTITUTE ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ประกาศนียบัตรและปริญญาบัตร – ประกาศนียบัตร A.C.C. (โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์) นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกาศนียบัตรวิชามัคคุเทศก์ (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) Dip. in Accounting and Business Administration เกลียดนสพ.แต่เป็นคอลัมน์นิสต์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง อาทิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวมทั้งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ฉายา “เซลส์แมนฝันเฟื่อง” ตำนานรักฉบับประหยัด ลูกสาวฝาแฝด ผู้ว่ากทมฯที่มีคะแนนเสียงมากที่สุด หลังจากหมดวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. นายสมัคร ยังหันมาเอาดีด้านสื่อ โทรทัศน์ ด้วยการเป็นผู้ดำเนินรายการอาหารชื่อดัง “ชิมไปบ่นไป” แต่ที่ฮือฮาที่สุดคือการรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ซึ่งจัดร่วมกับนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีใน “รัฐบาลหอย” ธานินทร์ กรัยวิเชียร ปากเป็นเหตุ… เส้นทางการเมืองยังคงหอมหวนเสมอสำหรับนายสมัคร โดยตัดสินใจลงเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา กทม. ในปี 2549 ซึ่งก็ได้รับเลือกตามคาดหมาย แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก กกต. เนื่องจากมีคำร้องคัดค้าน และไม่นาน กกต.ชุดดังกล่าวก็ถูกศาลตัดสินให้พ้นสภาพ กระทั่งเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เสียก่อน โผล่คว้าเก้าอี้หัวหน้าพปช. เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจ ช้ำใจฉายา นายกฯนอมินี เห็นได้ชัดเจนในช่วงที่มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีการแย่งชิงตำแหน่งจากกลุ่มก๊วนต่างๆ ในพรรคพลังประชาชน ถนนทุกสายต่างมุ่งตรงไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้ช่วยชี้ขาดหรือผลักดันให้เป็นรัฐมนตรี เมื่อสภาพเป็นเช่นนั้นายสมัครจึงแทบไม่มีอำนาจในการควบคุมกลุ่มแก๊งค์ต่างๆที่อยู่ ในสภาได้เลย ชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ ไปตลาดบ่อยจนรู้ว่าอะไรขายที่ไหน คนอื่นไปหาซื้อไม่ได้ แต่พ่อครัวสมัครจัดการได้ อาหารเป็นพิษหลุดเก้าอี้นายกฯ แก้ไขล่าสุด (วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2009 เวลา 04:55 น.)
หลังจบนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ แล้วได้หันไปเขียนบทความและความคิดเห็นทางการเมือง ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ, สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ และชาวกรุง ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 และเขียนไปถึง พ.ศ. 2516 และเคยทำหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ ที่ต่อมาได้ปิดตัวไปในที่สุด เข้าสู่แวดวงการเมืองเต็มตัว เมื่อปี 2511 โดยสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และลงสมัครเลือกตั้งในระดับต่างๆ ไล่มาจนถึงระดับท้องถิ่น
เป็นไม้เบื่อไม้เมากับบรรดาคอลัมน์นิสต์หลายฉบับ เพราะไม่พอใจที่สื่อมวลชนจับจ้องวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยใช้สายตาและวาจาดุดัน สะกดบรรดานักข่าวที่ติดตามทำข่าวจนทุกคนแหยงไปตามๆกัน
ความที่เป็นคนชอบแสดงความคิดเห็น ชอบพูด สื่อมวลชนจึงเคยตั้งฉายาให้ว่า เซลส์แมนฝันเฟื่อง ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่เคยมีอาชีพนี้มาก่อน แต่เคยรับตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายขาย ของบริษัท จอห์นเดียร์ไทยแลนด์ จำกัด เป็นมาแล้วทั้งพนักงานสอนเครื่องลงบัญชีไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ออกของที่ท่าเรือและศุลกากร เสมียนแผนกรถยนต์ ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกอะไหล่รถยนต์ ผู้จัดการแผนกอะไหล่ ผู้บริหารฝ่ายขาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์สถานเอกอัครราชทูต สมาชิกสภาเทศบาล
เจ้าตัวเคยเผยวิธีการเลี้ยงลูกแบบประชาธิปไตยให้สิทธิได้แสดงความคิดเห็นทุกฝ่าย
ปล่อยฟรีสไตล์วิจารณ์ข่าวหลังมื้อเย็น แต่งงานกับคุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่มีอุปนิสัยค่อนข้างเก็บตัวและเป็นข่าวน้อยมากในแวดวงสังคมแบบฉบับผู้อยู่หลังบ้านที่ดีในขณะที่สามีเป็นข่าวบนหนังสือพิมพ์โดยตลอด นายสมัครเคยพูดถึงภรรยาไว้ในหนังสือการเมืองเรื่องตัณหา ซึ่งเป็นหนังสืออัตชีวประวัติสมัคร สุนทรเวชโดย myst-man นำมาโพสต์ไว้ในเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์
ว่าไปพบรักกับภรรยาที่มหาวิทยาธรรมศาสตร์และการเมืองโดยขณะนั้นตนเองเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ส่วนคุณหญิงสุรัตน์เรียนอยู่ทีคณะบัญชี… ผมเรียนกฎหมาย คุณเธอเรียนบัญชี……ถึงตอนนี้ผมอยากจะขออนุญาตเล่าลงไปให้ถึงรายละเอียดสักนิดเพื่อให้ไอ้บรรดาคอลัมนิสต์ เลวชาติ ทั้งหลายมันได้รู้กันว่าคนอย่างผมนั้นเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากความไม่มีอะไรโดยไม่ต้องทุจริตคดโกงอย่างที่พวกมันหลับหูหลับตาคิดกันอย่างไร…หลังจากที่รักใคร่ชอบพอกันแล้ว สมัคร ก็ตัดสินใจขอหมั้น คุณหญิงสุรัตน์ก่อนที่จะไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยสัญญากันเป็นหมั่นเหมาะว่าหากเรียนจบกลับมาแล้วค่อยแต่งงานกัน
…ผมตกลงกันว่า เรียนหนังสือเสร็จแล้ว ผมจะทำงานเก็บเงินเพื่อให้คู่หมั้นผมบินไปแต่งงานกันที่โน่นแต่แล้วด้วยความที่ไม่ต้องการให้เกิดการสิ้นเปลืองจากเดิมที่วางไว้ว่าจะไปทำพิธีแต่งงานที่สหรัฐฯก็ได้เปลี่ยนแผนมาแต่งที่ญี่ปุ่นแทน เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าโดยทั้งคู่จัดพิธีแต่งงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
มีท่านอุปทูตเป็นประธาน เมื่อปี 2511
นายสมัคร มีบุตรสาวฝาแฝด คือ นางกาญจนากร (สุนทรเวช) ไชยสาส์น จบมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ABAC / MBA. มหาวิทยาลัยฮาร์ทฟอร์ด USA. CONN.ปัจจุบันทำงานอยู่ฝ่ายการเงินของ ป.ต.ท. (สผ.) และ น.ส.กานดาภา สุนทรเวชจบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย / MBA.มหาวิทยาลัยฮาร์ทฟอร์ด USA.CONN. ปัจจุบันทำงานกระทรวงการต่างประเทศ
ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครในปี 2542 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 1,016,096 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนเสียงมากที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ในการจัดรายการดังกล่าวทั้งคู่ กล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กระทั่งเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากและสุดท้ายรายการก็จำเป็น ต้องปิดตัวลง แต่ไม่นานพิษจากรายการดังกล่าวยังตามมาเล่นงาน โดยผู้ดำเนินรายการทั้งสองต้องตกเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีพูดพาดพิงนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. และศาลมีคำพิพากษาสั่งจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
หลังจากนั้นเจ้าตัวได้หายหน้าไปจากแวดวงการเมืองพักใหญ่จนเชื่อว่า นายสมัครจะปิดฉากชีวิตทางการเมือง แต่ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ทาบให้นายสมัครมาเป็นหัวหน้าพลังประชาชน หลังจากที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบและพ.ต.ท.ทักษิณต้องระหกระเหินไปอยู่ประเทศอังกฤษ โดยพ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า มีความเหมาะสมเนื่องจากนายสมัครมีความจงรักภักดี ในขณะที่ตัวพ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี แต่อีกเหตุผลหนึ่งเชื่อกันว่านายสมัคร เป็นบุคคลคนเดียวที่กล้าต่อกรกับ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ตามนิยามของพ.ต.ท.ทักษิณ
ในที่สุดนายสมัครก็ได้นั่งเก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารที่เขาใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2551 ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย
แต่ใช่ว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรีจะนุ่มนวลดั่งฝัน เพราะวิบากกรรมที่นายสมัครได้ทำไว้ขณะดำรงผู้ว่าฯ กทม.ซึ่งนายสมัครลงนามในสัญญาจัดซื้อรถดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิงมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาทในวันสุดท้ายก่อนที่จะพ้นตำแหน่ง เป็นผลให้นายสมัครถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)สอบสวนในเวลาต่อมาและถูกแจ้งข้อกล่าวว่า ทุจริตในการจัดซื้อรถดับเพลิงดังกล่าว
เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของนายสมัครจึงมีอุปสรรคมาตลอด ท่ามกลางเสียงเย้ยหยันว่า เป็นนายกฯที่ไร้อำนาจที่แท้จริง เนื่องจากคนคุมทิศทางการทำงานในพรรคพลังประชาชนและรัฐบาลยังเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
นายสมัครเคยเล่าไว้อย่างน่าสนใจในหนังสืออนุสรณ์ครบรอบอายุ 60ปีถึงต้นสายปลายเหตุที่ตัวเองชอบเข้าครัวทำกับข้าวว่า “ตอนที่ผมอายุ 3 ขวบ และคุณแม่ยังอยู่ในบ้านคุณตานั้น บ้านผมยังมีคนใช้ มีพี่เลี้ยง คนที่เป็นพี่เลี้ยงผมนั้นมีหน้าที่เป็นแม่ครัวด้วย เพราะยังงั้นตั้งแต่ผมยังเดินไม่ได้ ผมก็เริ่มถูกแม่ครัวอุ้มเข้ากระเอวเอาไปตลาดด้วยแล้ว เมื่อโตเดินได้แล้ว ผมจึงมักจะเดินตามคนเลี้ยงไปตลาดด้วยบ่อยๆ ที่ยังจำได้จนถึงวันนี้และได้เก็บเอามาสอนลูกตัวเองเวลาไปตลอด”
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขายังไม่ทิ้งนิสัยพ่อครัว หัวป่า และหันมาเป็นพิธีการายการ “ชิมไป บ่นไป”ในขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จนกระทั่งมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว นายสมัครก็ใช้ช่วงเวลาวันหยุดไปจัดรายการดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ จนเป็นเหตุให้นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหาและคณะได้ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญของขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในการรับจัดรายการ “ชิมไป บ่นไป” และรายการ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” ว่าเข้าข่ายผลประโยชน์ขัดกันของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ในวันที่ 9 กันยายน 51นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และคณะได้ออก นั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยว่า การจัดรายการ “ชิมไป บ่นไป” และรายการ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” ของนายสมัครนั้นมุ่งประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ถือได้ว่าขัดรัฐธรรนูญ ส่งผลให้ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยมติเอกฉันท์ 9-0 ส่งผลให้นายสมัครต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น