วันเสาร์ที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

`ตู่'ปูดเอกสารลับฆ่าทักษิณแผนโต้`ฮุนเซน'

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- 12 ชั่วโมง 56 นาทีที่แล้ว
ลงนามโดยกษิต ส่งถึงมืออภิสิทธิ์ ปูดมีนายพลร่วม บัวแก้วเล็งฟ้อง
"ทักษิณ" ทวิตเตอร์รายวัน โอดมุกเดิมถูกจ้องเอาชีวิต ขณะที่ "จตุพร" รับลูกโชว์เอกสารลับ "กษิต" ส่งถึงนายกฯ วางแผน "ตอบโต้ฮุน เซน-เอา ชีวิตทักษิณ-เร่งคดีค้างศาล-ประกาศสงครามเขมร" ด้าน "บัวแก้ว" เต้นสั่งสอบหาต้นตอเอกสารรั่ว ขู่เอาผิดจตุพรเผยเอกสารลับ ยันไม่มีเนื้อหาสั่งลอบสังหารทักษิณ ส่วน "ปชป." ปัดรัฐบาลไม่มีแผนตามฆ่าทักษิณ จวกฮุน เซน จุ้นการเมืองไทย แถมให้ที่พักนักโทษหนีคดี ขณะที่วางแผน "ตอบโต้ฮุน เซน-เอา ชีวิตทักษิณ-เร่งคดีค้างศาล-ประกาศสงครามเขมร" ด้าน "บัวแก้ว" เต้นสั่งสอบหาต้นตอเอกสารรั่ว ขู่เอาผิดจตุพรเผยเอกสารลับ ยันไม่มีเนื้อหาสั่งลอบสังหารทักษิณ ส่วน "ปชป." ปัดรัฐบาลไม่มีแผนตามฆ่าทักษิณ จวกฮุน เซน จุ้นการเมืองไทย แถมให้ที่พักนักโทษหนีคดี ขณะที่
"เสธ.แดง" พล่านบุกกลาโหมจี้บิ๊กป้อมพักงานบิ๊กป๊อกด้วย อ้างผิดฐานเดียวกัน ส่วนคดีเงินบริจาค ปชป. 258 ล้านยังวุ่น "อภิชาต" แย้มยกคำร้องหลังมติ กกต.ให้อำนาจชี้ขาด ด้าน "สดศรี" ชี้แค่ความเห็นเดียว ต้องชงเรื่องขอมติ กกต.อีกครั้ง ส่วน "เพื่อไทย" ขู่ยกคำร้อง เจอถอดถอนยกชุด แฉอภิชาตซี้บิ๊ก ปชป. ขณะที่ "เทพเทือก" ตกม้าตายเปิดปากยอมรับเอง อ้างผิดส่วนบุคคล
"ทักษิณ" ทวิตแหลโอดถูกจ้องเอาชีวิต
วันที่ 18 ธ.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ดอทคอม สนทนากับแฟนคลับที่อวยพรปีใหม่ให้ล่วงหน้าว่า "ขอบคุณมากครับที่อวยพรผมก่อนใครเลย เช่นกันครับปีใหม่ฟ้าใหม่ 2553 ขอให้มีความสุขมากๆ ขอให้เรื่องปัญญาอ่อนจนบ้านเมืองพังผ่านพ้นไปเร็ววัน เพิ่งกลับจากนั่งเฮลิคอปเตอร์ดูเมืองและการพัฒนากรุงพนมเปญกับท่านฮุน เซน มา เห็นชัดครับว่ามีการลงทุนเข้ามาพอสมควรใน 3 ปีที่ผ่านมา และมีน้ำเยอะมาก ขอบคุณมากๆ ครับช่วงนี้กำลังใจถือว่าเป็นยาชูกำลัง เรื่องราวไร้สาระมาก แต่เขาเอาจริงเอาจังถึงขั้นจะเอาชีวิตและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม"
"ตู่" ปูดเอกสารลับแผนขจัดทักษิณ
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวพร้อมนำสำเนาเอกสารมาแจกจ่ายสื่อมวลชน โดยอ้างว่าเป็นเอกสารที่ กต. 1303/2355 เรื่องแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ลงนามโดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ทำถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 พ.ย.2552 โดยระบุว่า จากกรณีที่รัฐบาลไทยดำเนินการนโยบายทางการทูต ซึ่งกระทบกระทั่งกับกัมพูชาหลายประเด็น มีการวางแผนอย่างเป็นรูปธรรมจนอาจนำไปสู่การประกาศสงครามระหว่าง 2 ประเทศ ตนไปพบเอกสารฉบับหนึ่ง โดยเอกสารนี้เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศคนหนึ่งส่งมาให้นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย จากนั้นได้ส่งมาให้ตนเป็นผู้แถลงอีกครั้ง เมื่อดูเอกสารลงวันที่ 16 พ.ย.52 เป็นหนังสือด่วนที่สุดและลับมาก มีการส่งเอกสารมา 2 ฉบับคือ 1.เอกสารแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 2.ตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรง เพื่อเตรียมมาตรการป้องปรามและตอบโต้การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่าง เป็นขั้นเป็นตอน ทั้งนี้แผนการทั้งหมดอยากให้นายกษิตออกมาตอบโต้ แต่ยืนยันตนมีรายละเอียดทั้งหมด เพียงแค่เอกสารนี้ก็มากพอ 1.มีความพยายามจะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมให้เร่งรัดคดี พ.ต.ท.ทักษิณ 2.ไปยุ่งเกี่ยวกิจกรรมภายในกัมพูชา 3. หมายเอาชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ 4.เตรียมประกาศสงคราม ขอร้องนายอภิสิทธิ์อย่าปรับนายกษิตออกจากครม. ขอให้อยู่อย่างนี้ เราเป็นประเทศเดียวนำผู้ต้องหาก่อการร้ายยึดสนามบินมาเป็น รมว.ต่างประเทศ และยังดำเนินนโยบายทางการทูตแบบเป็นปฏิปักษ์กับมิตรประเทศ
อ้างให้เร่งคดีทักษิณก่อนสิ้นปี 52
นายจตุพร กล่าวว่า สำหรับเอกสารแนวทางการดำเนินการนั้นมีการดำเนินการไปแล้วหลายส่วน อาทิ ข้อ 1.วิเคราะห์ท่าทีของฝ่ายกัมพูชาโดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภัยหลัก ข้อ 2.4 ระบุว่าจะมีการเร่งพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังค้างอยู่ ก่อนหน้านี้มีบิ๊กทหาร 'ป' 2 คน นายทหารนายพลอีก 1 คนบอกว่าจะเร่งคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เสร็จภายในวันที่ 6 ม.ค.53 นายกษิตที่เป็นฝ่ายบริหารทำเอกสารถึงนายอภิสิทธิ์ หัวหน้าฝ่ายบริหาร ระบุว่าจะต้องมีการเร่งพิจารณาคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารอีกฉบับที่ตนยังไม่อยากเปิดเผยคือพัฒนาการเป้าหมายและ แนวทางดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา ซึ่งมีการระบุชัดเจนว่าต้องทำให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 52 และจุดหมายปลายทางต้องคำนึงถึงว่าจุดประสงค์ของไทยคือการปรับความสัมพันธ์ สู่ปกติ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในกัมพูชานั้น แสดงว่านายกษิตและกระทรวงการต่างประเทศมีข้อมูลว่าจะมีการปฏิวัติในกัมพูชา โดยมีการสนับสนุนจากฝ่ายไทย เมื่อกระทรวงการต่างประเทศรู้ข่าวนี้จึงออกมาพูดว่าไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการ ปกครองในกัมพูชา แล้วนายกษิตไปยุ่งอะไรเกี่ยวกับกระบวนการภายในกัมพูชาจึงออกมาบอกว่าจะมีการ จัดความสัมพันธ์อย่างปกติ ถือเป็นการแทรกแซงการปกครองในกัมพูชาหรือไม่ เอกสารยังมีการระบุ (1) มุ่งที่ต้นตอของปัญหา ขจัดภัยคุกคามหลักนั้น หมายถึงว่าต้องมีการฆ่าให้สิ้นก่อนสิ้นปี 52 ถ้าไม่สำเร็จก็จะดำเนินการอีกใน เม.ย.53 ทั้งนี้ในเอกสารนี้ยังระบุถึงมาตรการตอบโต้ตั้งแต่ระดับกลางไปถึงเลวร้ายที่ สุด คือถ้ามีกิจกรรมเหมือนเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นต้องตัดความสัมพันธ์และตอบโต้ทาง ทหาร ซึ่งถือเป็นความรุนแรงเท่ากับรัฐบาลเตรียมประกาศทำสงคราม
"บัวแก้ว" เต้นเล็งเอาผิดจตุพร
ส่วนนายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า หนังสือดังกล่าวเป็นรายงานการวิเคราะห์พัฒนาการและแนวโน้มความสัมพันธ์กับ กัมพูชา ซึ่งเป็นเอกสารชั้นความลับ ซึ่งกระทรวงไม่สามารถให้รายละเอียดของหนังสือดังกล่าวได้ แต่ทราบว่าได้มีการเผยแพร่ไปยังหน่วยงานราชการด้านความมั่นคงเพื่อเป็นแนว ทางการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้เอกสารดังกล่าวเป็นชั้นความลับ และมีความละเอียดอ่อน จึงไม่อยากให้มีการเผยแพร่ต่อ ทั้งนี้ผู้นำเอกสารออกเผยแพร่จะมีโทษตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540 และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ พ.ศ.2544 กำกับอยู่ ซึ่งต้องพิจารณาว่าการดำเนินการนั้น มีความผิดทางอาญาและขัดต่อ พ.ร.บ.และระเบียบดังกล่าวหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่าสิ่งที่นายจตุพรเผยแพร่ต่อสาธารณชนนั้นเป็นไปในลักษณะใด และต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อัยการสูงสุด ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ในส่วนการดำเนินการของกระทรวง ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ ทางกระทรวงจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน ประกอบด้วย ข้าราชการระดับบริหารของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรต้องรอฟังจากคณะกรรมการดังกล่าวเสียก่อน ส่วนที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยข้อมูลโทรศัพท์ของนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขาเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ว่ามีการโทรศัพท์ถึงนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ จริงนั้น ไม่มีข้อมูลในส่วนนั้น เพราะเป็นข้อมูลที่กัมพูชาหามาได้ ตนคิดว่าเป็นรายการหมายเลขโทรศัพท์เข้าออก คล้ายกับใบเสร็จเรียกเก็บเงินของบริษัทมือถือค่ายต่างๆ ทั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่าเอกสารดังกล่าวไม่ได้บ่งบอกอะไร ยืนยันว่า นาย กษิตไม่ได้โทรศัพท์สั่งการให้ดำเนินการใดๆ ซึ่งสิ่งที่นายคำรบทำนั้น ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูล แต่หลังจากที่นายคำรบถูกกำหนดให้เป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาของกัมพูชาแล้ว นายกษิตอยู่ที่สิงคโปร์และได้โทรศัพท์ไปให้กำลังใจนายคำรบ
ขู่ปูดเอกสารปลอมเจอดีแน่
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วย รมว.การต่างประเทศ เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเปิดเผยเอกสารฉบับจริงตามที่กล่าวอ้างว่าเป็น เอกสารฉบับจริงตามแบบฟอร์มเอกสารทางราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ส่งไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) หรือไม่ แต่หากเป็นเอกสารปลอมทางผู้ออกมาเปิดเผยต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หากเอกสารดังกล่าวเป็นฉบับจริง กระทรวงจะดำเนินการตรวจสอบภายในถึงต้นตอว่าใครเป็นผู้ปล่อยเอกสารดังกล่าว ออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศ หรือ สลน. เพราะโดยเบื้องต้น รมว.การต่างประเทศ จะส่งรายงานการทำงานกับนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจึงถือว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารลับทางราชการผู้ใดนำออกไปเปิดเผยย่อมมีความผิด ทั้งนี้แม้ว่าเอกสารตามที่พรรคเพื่อไทยกล่าวอ้างจะเป็นเอกสารจริงก็ตามที แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะโดยอำนาจหน้าที่ในการทำงานทาง รมว.การต่างประเทศ ย่อมต้องทำรายงานเสนอผู้บังคับบัญชา คือ นายกฯ รับทราบเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่กังวล
"สุเทพ" อ้างไม่เอกสารลับ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เคยเห็นเอกสารดังกล่าว ตามที่นายจตุพรกล่าวอ้าง ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือของเท็จ แต่คิดว่าเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือ เรามีปัญหาสำคัญในบ้านเมืองที่ต้องรีบแก้ไขมากกว่าไปสนใจเรื่องนี้ ส่วนที่ระบุว่าเอกสารดังกล่าวมีการลงนามโดยนายกษิตนั้น คงต้องไปถามนายกษิตเอง ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีการวางแผนเป็นขั้นตอนในการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่คิดว่ามี เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่ในกัมพูชาถึงวันที่ 21 ธ.ค.นี้ จะให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดี ในเมืองไทยหรือไม่ นาย สุเทพ ตอบว่า ก็เคยทำไปแล้ว แต่กัมพูชาไม่ให้ เมื่อถามว่า แสดงว่ารัฐบาลถอดใจในการทำหนังสือขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับเมืองไทย นายสุเทพ ตอบว่า ไม่ทราบ กระทรวงการต่างประเทศคงหาวิธีการของเขา
ปชป.ปัดรัฐบาลมีแผนไล่สังหารแม้ว
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวหาทางการไทยว่าได้มีการสั่งให้เครื่องบินขับไล่ F-16 บินประกบเครื่องบิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขับไล่ออกจากน่านฟ้าหรือบังคับให้ลงจอดเพื่อจับกุมตัวนั้น เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีแผนการที่จะทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งภายในไทยและต่างประเทศ รวมถึงการที่ออกมาระบุว่าไทยส่งกองกำลังรุกล้ำพื้นที่ของกัมพูชา ยืนยันว่าไม่มีเรื่องดังกล่าวแน่นอน ตรงกันข้ามที่รัฐบาลนี้พยายามประนีประนอมและเร่งแก้ไขปัญหาพื้นที่แนวชายแดน ให้ถูกต้อง ทั้งนี้มองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา กำลังคลี่คลายลงหลังจากที่รัฐบาลกัมพูชาได้มีการปล่อยตัวนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย แต่มี 3 เรื่องที่จะทำให้สถานการณ์กลับมาน่าเป็นห่วงอีกครั้ง คือ 1.การดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งพรรคเป็นห่วงว่า การดักฟังสาระของการสนทนาในสถานทูตไทยประจำกัมพูชา เป็นการกระทำผิดสนธิสัญญากรุงเวียนนา ปี 2504 2.การให้ที่พักพิงต่อผู้กระทำผิด เพราะนอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ยังมีการให้ที่พักพิงนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. และอดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ 3.การที่สมเด็จฮุน เซน ยังให้สัมภาษณ์แทรกแซงการเมืองในไทย รวมถึงการวิจารณ์รัฐบาลไทย ซึ่งพรรควิตกคำพูดของสมเด็จฮุน เซน บางส่วนที่อาจเป็นการประสานกับกลุ่มเสื้อแดงบางกลุ่ม เช่น ข้อมูลตารางการบิน ที่พรรคประเมินจากเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้กัมพูชาเป็นฐานที่ตั้งในการล้มรัฐบาลไทยต่อเนื่องในอนาคตต่อไป
จวกพวกขายชาติคาบข่าวบอกเขมร
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ค่อนข้างชัดเจนในคำสัมภาษณ์ ที่บอกว่า หากไม่สกัดทันเวลา พ.ต.ท.ทักษิณคงเสียชีวิตหรือเข้าเรือนจำไปแล้ว เพราะเขาทำแผนที่เส้นทางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณถือว่าจะต้องเป็นโศกนาฏกรรม ที่กัมพูชาที่จะรับเคราะห์ไปด้วยนั้น ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเคยนำมาอภิปรายในสภา และตั้งกระทู้ถามรัฐบาลมาแล้ว ทั้งเรื่องเส้นทางบินหรือการปกป้องน่านฟ้าไทยของกองทัพอากาศ ดังนั้นเชื่อได้ว่าข้อมูลที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวหาประเทศไทยเป็นเพราะข้อมูลจากคนไทยกันเองที่คาบข่าวไปบอกคนต่างชาติ เพื่อให้มาทำลายชาติไทย อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า นายกรัฐมนตรีคงจะไม่ตอบโต้ท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ที่ออกมาในลักษณะเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้ขยายความออกไป จนกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่นับวันจะห่างออกไป แต่ตนก็ไม่คาดคิดว่าสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นผู้ที่มีอาวุโสทางการเมืองเป็นผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดใน เอเชีย จะมีท่าทีต่อประเทศเพื่อนบ้านเช่นนี้ ถ้าเทียบกับความอาวุโสทางการเมืองกับนายอภิสิทธิ์ต่างกันมาก แต่สังคมคงจะพิจารณาได้ว่าวุฒิภาวะของผู้นำทั้งสองประเทศเป็นอย่างไร ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้โพสต์ข้อความทวิตเตอร์ระบุว่า ยังอยู่ที่กัมพูชา และคิดถึงประเทศไทยอยากกลับประเทศไทย แต่ว่ารัฐบาลไม่เวลคัม (Welcome) นั้น วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่กัมพูชาจริงๆ และมีความเข้าใจผิดว่ารัฐบาลไทยไม่ต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณต้องเข้าใจใหม่ว่า ตัวเองคือบุคคลที่รัฐบาลไทยต้องการตัวมากที่สุดเพื่อมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าใจว่าใครไม่เวลคัมตัวเองก็ตาม แต่ตนยืนยันกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า คนที่เวลคัม พ.ต.ท.ทักษิณตลอดเวลาคือคุกเวลคัม
"เสธ.แดง" จี้ประวิตรพักราชการบิ๊กป๊อก
วันเดียวกัน ที่องค์การทหารผ่านศึก พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีที่ถูกกองทัพบกตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย และเรียกร้องให้มีการสอบสวน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่มีความผิดกรณีที่ไปข่มขู่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง และขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะไม่ปฏิบัติตามการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมี พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการ รมว.กลาโหม เป็นผู้รับหนังสือแทน ทั้งนี้ พล.ต.ขัตติยะ เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร จะพิจารณาในเรื่องนี้ เพราะท่านเป็นคนที่ยุติธรรม และขณะนี้เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เข้าใจตนผิด ส่วนปลัดกระทรวงกลาโหมเข้าใจผิดเพราะไปฟังการเสี้ยมของเอเอสทีวี แต่ตอนนี้น่าจะเข้าใจถูกแล้ว แต่ ผบ.ทบ.เข้าใจผิดเต็มๆ และเรื่องที่กำลังทำเพื่อพักราชการตนนั้นเป็นเรื่องเก่าที่เอาขึ้นมาปัดฝุ่น ส่วนเรื่องใหม่ที่ตนไปกัมพูชากับเรื่องทหารพรานนั้น ยังไม่ได้สอบสวน ถ้าไม่อคติคงทำตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่นี่เรื่องเลยมา 12 เดือนแล้ว เพิ่งจะมาทำเรื่องขอพักราชการ ทั้งนี้หากมีการสั่งพักราชการต้องพักพร้อมกันทั้งคู่ ทั้งตนและ พล.อ.อนุพงษ์ เพื่อจะได้ให้เกิดความเสมอภาค ตอนนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ความจำเสื่อม พอใหญ่แล้วลืมตัวจึงจำตนไม่ได้ ส่วนการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงหลังปีใหม่ จะแตกหักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแกนนำ 3 เกลอว่าจะถอดใจหรือไม่ หากไม่ถอดใจจะรบชนะ เพราะแนวร่วมเขาสู้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับแกนนำ และทหารพรานจะแต่งชุดออกมาเหมือนเดิม เพราะไม่ได้เป็นเครื่องแบบที่อยู่ในระเบียบกองทัพ แต่ทหารหลักคนไหนจะเสี่ยงไปถอดชุดก็ตัวใครตัวมัน ซึ่งตนอยากห้ามว่า ทหารอย่าออกมารบกัน ปล่อยให้การเมืองแก้การเมือง ส่วนเหตุระเบิดปีนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น หากจะมีอาจทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านเจ๊งทั้งคู่ ยัน "ประวิตร" ให้ความเป็นธรรม
ด้าน พล.อ.นพดล กล่าวว่า ตนจะนำเอกสารของ พล.ต.ขัตติยะ นำเรียนให้ รมว.กลาโหมได้รับทราบ ซึ่งเรื่องการสอบสวน พล.ต.ขัตติยะนั้น เชื่อว่า รมว.กลาโหมจะให้ความยุติธรรมปฏิบัติตาม ขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่ง รมว.กลาโหม ไม่ได้หนักใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรมพระธรรมนูญว่าจะตัดสินอย่างไร ซึ่งหากเสนอมาอย่างไร ท่านคงจะว่าไปตามนั้น อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของกรมพระธรรมนูญ คาดว่าน่าจะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง แต่เราไม่ได้เร่งรัดอะไร เพราะไม่ได้มีการกำหนดเวลา แต่เชื่อว่าคงใช้เวลาไม่นาน
ปธ.กกต.แย้มยกคำร้องคดี 258 ล้าน
ส่วนกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ กกต.เสียงข้างมากมีมติให้เป็น ดุลพินิจของนายทะเบียนพรรคการเมือง ว่าจะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวว่า ไม่หนักใจ และไม่รู้สึกกดดันที่ถูกให้ตัดสินใจในฐานะนายทะเบียน ยอมรับมีความเห็นตามเสียงส่วนใหญ่ของคณะอนุกรรมการไต่สวน ที่ให้ยกคำร้องคดีดังกล่าว และเห็นว่าไม่ควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ทั้งนี้ยืนยันไม่ได้เป็นการช่วยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ได้ดูในรายละเอียดอย่างรอบคอบ และตรงไปตรงมา การที่มี กกต.คนหนึ่งลงมติว่าสมควรส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณา ยุบพรรคก็เท่ากับว่า กกต.คนนั้นไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างมากของอนุกรรมการไต่สวน ทำให้ตอนนี้มีตนเพียงคนเดียวที่เห็นตามอนุฯ เสียงข้างมากที่ให้ยก คำร้อง ส่วน กกต.อีก 3 คน มีความเห็นให้ตนเป็นผู้ตัดสินใจอีกครั้ง ทั้งนี้หากนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นควรว่าเรื่องนี้ต้องส่งให้ศาลรัฐ ธรรมนูญ ก็จะต้องส่งเรื่องกลับเข้าสู่ที่ประชุม กกต.อีกครั้ง เพื่อขอความเห็นชอบ แต่ถ้านายทะเบียนฯ เห็นควรยกคำร้องตามเสียงข้างมากของอนุฯ ก็ไม่ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม กกต. "สดศรี" ยันต้องขอมติ กกต.อีกครั้ง
ขณะที่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. เห็นว่าการที่ประธาน กกต.มีความเห็นยกคำร้องถือเป็นความเห็นเดียว และการเห็นว่าไม่ควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญก็ควรทำความเห็นส่งกลับไปขอ ความเห็นจากมติ กกต.ก่อน ยืนยันที่ให้ประธานกลับไปทำความเห็นมา เพราะเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติพรรคการเมืองไม่ได้ยื้อเวลา หรือโยนเผือกร้อนให้ประธาน กกต.
"เทือก" ไม่หวั่น ปชป.ถูกยุบ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวว่า ที่ กกต.โยนให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ส่วนตัวคิดว่ากรณีนี้ไม่น่ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพรรค เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล
ปชป.ยันไม่เคยรับเงินบริจาคทีพีไอ
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า เป็นกระบวนการที่ กกต.ปฏิบัติตามกฎหมาย และพรรคยังคงยืนยันที่จะสนับสนุนเกี่ยวกับการให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมามีการเปิดเผยถึงแหล่งที่มาของรายได้มาโดยตลอด ไม่ว่าเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้จากกองทุนพรรคเมือง หรือเงินบริจาคที่ได้จากการระดมทุนครั้งต่างๆ ซึ่งยืนยันได้ว่า เงินบริจาคของพรรคไม่มีตัวเลข 258 ล้านบาท ที่ได้จากบริษัททีพีไออย่างแน่นอน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคเห็นว่าการมีมติดังกล่าวของ กกต.น่าจะเป็นการขัดต่อกฎหมาย เนื่องจากเป็นองค์กรกลุ่ม ในการวินิจฉัยเรื่องใดๆ ต้องทำในรูปของคณะกรรมการ แม้ตามกฎหมายประธาน กกต.จะมีฐานะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง และเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของ กกต.แล้ว จะเห็นว่าตามมาตรา 10 (10) ให้อำนาจ กกต.ในการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหา หรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย และตามมาตรา 95 ของกฎหมายพรรคการเมือง การจะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค การเมืองหรือไม่นั้น กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า "ให้นายทะเบียน โดยความเห็นชอบของ กกต. แจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน" ก็แสดงว่า ในการพิจารณาว่าจะส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดหรือไม่นั้น กกต.จะต้องมีมติเท่านั้น จะให้เป็นความรับผิดชอบหรือเป็นดุลพินิจของประธาน กกต.เพียงคนเดียวไม่ได้ ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน การที่ กกต.เสียงข้างมากมีมติให้นายอภิชาติเป็นผู้ตัดสินใจโดยลำพัง จึงเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และที่นายอภิชาติได้ออกมาระบุว่า ยืนตามมติของอนุกรรมการไต่สวนให้ยกคำร้องนั้น ก็เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการจะยกคำร้องหรือส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดหรือไม่นั้นต้องพิจารณา และมีมติในรูปของคณะกรรมการเท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า นายอภิชาตมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนมาด้วยกัน แสดงถึงความไม่เป็นกลางของนายอภิชาตที่จะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเพียงลำพัง ดังนั้นหาก กกต.ยังคงดำเนินการไปตามความเห็นของนายอภิชาต คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการโดยขอให้ ส.ส.เข้าชื่อถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับ กกต. อัดมติอัปยศหวังช่วย ปชป.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มติของ กกต. กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีมติให้ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียน เป็นผู้ชี้ขาดนั้น เป็นมติอัปยศที่ กกต.ช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ แบบไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไรแล้ว ทั้งนี้ส่วนตัวอยากให้ กกต.มีมติไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปเลยดีกว่า ซึ่งตนจะได้ดำเนินการกับ กกต.ทันทีไม่ต้องเสียเวลา
อ้างหลักฐาน DSI ปึ้กต้องยุบ ปชป.เท่านั้น
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ได้ข่าวว่า กกต.มีมติเสียงข้างมากให้ประธาน กกต.ดูเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อเสนอว่าควรจะยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือ ไม่ ฟังแล้วแปลกดี ไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร มองในแง่ดีก็อาจหมายถึงให้ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองทำหน้าที่เสียก่อน ซึ่งก็เหมือนโยนเผือกร้อนให้ประธาน กกต.ไปเต็มๆ แรงกดดันจะอยู่ที่ประธาน กกต.ไปจนกว่ามีข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ซึ่งคราวนี้คงถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สุดท้าย กกต.ทั้งคณะก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ และทางที่ดีไม่ควรทำให้ภาพพจน์ของ กกต.เองย่อยยับไปกว่านี้อีกแล้ว มีพรรคการเมืองหลายพรรคถูกยุบไปเพราะ กกต.เชื่อใครก็ไม่รู้ว่ามีคนเพียงคนเดียวทำผิด กม. ในกรณีของบางพรรค ต่อมาศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องผู้ที่ได้รับใบแดงคนนั้น แต่พรรคของเขาก็ถูกยุบไปแล้ว นี่คือผลงานของ กกต. ทั้งนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวนเขาสรุปว่า ผิดล้านเปอร์เซ็นต์ ทาง DSI เขามีหลักฐานเป็นตั้งๆ กกต.กลับไม่เชื่อสักที แถมยังถ่วงเวลามาเรื่อย ถ้าขั้นนี้ช่วยกันอีกก็จะยิ่งตอกย้ำความอยุติธรรมหนักยิ่งขึ้น ต้องช่วยกันชี้ให้เห็นความไม่เป็นกลางของ กกต. และความไม่เป็นประชาธิปไตยของบ้านเมืองนี้ ให้ กกต.จำต้องฝืนใจตัวเองและผู้มีอำนาจ คือถ้าทำตามกฎหมายก็ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์และถอนสิทธิ์ 5 ปี ซึ่งขัดหลักนิติธรรม หากพรรคประชาธิปัตย์หลุดพ้นไป ก็สะท้อนความไม่เป็นธรรมของระบบที่เป็นอยู่

กต.ตั้งกก.สอบเอาผิดจตุพร ฐานนำเอกสารลับของกต.เสนอนายกคุกคามเพื่อนบ้าน-กำจัดทักษิณออกเผยแพร่

กระทรวงการต่างประเทศ เตรียมตั้งกรรมการสอบ จตุพร นำเอกสารลับวิเคราะห์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ออกมาเปิดเผย

นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ เปิดเผยว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศ ยังตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยตามเอกสารลับ ของกระทรวงการต่างประเทศมาเปิดเผย พร้อมกับเตรียมประสานไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อตรวจสอบว่า การนำเอกสารลับดังกล่าวมาเปิดเผย มีความผิดตามพระราชบัญญัติ และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของข้าราชการ พ.ศ. 2544 หรือไม่ ทั้งนี้ยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวเป็นรายงานวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยกัมพูชา ที่มีความละเอียดอ่อน และอาจมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ แต่ยืนยันว่าไม่มีเนื้อหาที่สั่งการให้สังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ
กวาดล้างกลุ่มคนเสื้อแดง


นอกจากนี้ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ ยังยืนยันว่าไม่ติดใจต่อกรณี ที่สมเด็จฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเปิดเผยรายงานการใช้โทรศัพท์ของ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย ที่ถูกจับกุมในคดีความมั่นคง เพื่อยืนยันว่ากัมพูชาไม่มีการกักขังพร้อมเชื่อว่า หลักฐานดังกล่าวคงไม่มีน้ำหนักที่จะระบุได้ว่า มีการโจรกรรมข้อมูล

ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ปฏิเสธ ตนไม่ทราบ กรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย เปิดเผย เรื่อง เอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ทำถึง นายกฯ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของไทย
และกัมพูชา โดยจะมีการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งตนไม่เคยเห็น และไม่ทราบเรื่องดังกล่าว อีกทั้ง มองว่าไม่น่าเชื่อถือ ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องติดตาม และแก้ไขปัญหาอื่น มากกว่าเรื่องดังกล่าว ส่วนกรณีเอกสารลงชื่อ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น ก็ต้องถาม นายกษิต

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังพำนักอยู่ในกัมพูชาหรือไม่นั้น ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งจะถอดใจในการดำเนินการหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ

"จตุพร" แฉเอกสารลับ กต. ประกาศสงครามเพื่อนบ้าน วางแผนกำจัด "ทักษิณ" เร่งปิดปิดบัญชีก่อน 6 ม.ค.

มติชนออนไลน์รายงาน ว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช.นำ เอกสารตราครุฑ ประทับคำสั่ง ลับมากและด่วนที่สุด ที่กต 1303/2555 กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา กทม.10400 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 ลงลายมือชื่อนายกษิต ภิมรมย์ รมว.ต่างประเทศ และส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาประกอบการแถงข่าว โดยเอกสารดังกล่าวระบุ เรื่องแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยอ้างถึง หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ลับมาก ด่วนที่สุดที่ กต 1302/2318 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.เอกสารแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 2.ตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียมมาตรการป้องปรามและตอบโต้ การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างเป็นขั้นตอน
นายจตุ พร กล่าวว่า เอกสารดังกล่าว ได้รับมาจากนายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ที่ได้รับมาจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอีกทีหนึ่ง ซึ่งพบว่าเนื้อหามีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นรูปธรรมซึ่งจะพัฒนาไป สู่การประกาศสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือ ข้อ 2.4 ที่ระบุเนื้อหาให้บริหารจัดการเวลาให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลไทยมากที่สุด โดยการเร่ง พิจารณาคดีต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งเนื้อหานี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตนเคยออกมาบอกว่ามีบิ๊กนายทหาร 3 นาย เป็น "ป" 2 นาย จะเร่งรัดคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 6 มกราคม 2553 ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เห็นว่านายกษิตเสียมารยาทและสะท้อนว่าฝ่ายบริหารมี อำนาจสั่งการ แทรกแซงศาลได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข้อ 3.ระบุถึงจุดหมายปลายทาง โดยให้มีการปรับความสัมพันธ์สู่ปกติ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของกัมพูชา แสดงว่าเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ข้อมูลว่าจะมีการทำรัฐประหารใน กัมพูชา โดยการสนับสนุนของรัฐบาลไทยใช่หรือไม่
แฉแผนสังหาร"แม้ว"ภายในปี 52
นายจตุ พร กล่าวว่า นอกจากนี้ประเด็นสำคัญยังมีการระบุด้วยว่าปัญหาทั้งหมดมาจากการที่พ .ต.ท.ทักษิณ มุ่งทำลายความอยู่รอดของรัฐบาลดังนั้นจำเป็นต้องมุ่งไปที่ต้นตอของปัญหาด้วย การขจัดภัยคุกคามหลัก ซึ่งทำให้คิดได้ว่าการขจัดภัยคุกคามหลักคือการฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ให้สิ้นซาก ภายในสิ้นปี 2552 ถ้าไม่ได้ต้องแล้วเสร็จภายในเมษายน 2553 ตามที่มีการรระบุในตารางตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียม มาตรการป้องปรามและตอบโต้การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งตนจะนำมาเปิดเผยภายในสัปดาห์หน้า
นายจตุ พร กล่าวว่า ขณะที่ข้อ 3.1 ระบุถึงการพิจารณาใช้ประเทศหรือบุคคลที่ 3 ที่มีอิทธิพลหรือเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาในการช่วยคลี่คลายปัญหา จาก นั้นพบว่านายอภิสิทธิ์ ได้ส่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปประเทศเวียดนาม ซึ่งนายอภิสิทธิ์และนายกษิตคงเข้าใจว่าเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาได้ ช่วยหยุดยั้ง แต่เป็นการเข้าใจที่ผิดเพราะเวียดนามกำลังจะได้รับประโยชน์จากการกระทำของ รัฐบาลไทย
ปูดเอกสารลับเนื้อความเดียวสมัย คมช.
นอกจาก นั้น นายจตุพร ยังระบุว่า ในข้อ 3.3 ยังมีการระบุถึงมาตรการตอบโต้ขั้นเลวร้ายที่สุด หาก พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาร่วมกันกระทำการใดๆจนเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและ ทรัพย์สินประชาชนในวงกว้าง คุกคามอำนาจอธิปไตยไทยและสถาบันสำคัญ ซึ่งรวมถึงการดำเนินกิจกรรมเสมือนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในกัมพูชา ก็จำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องพิจารณาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและยกเลิกการ ติดต่อทุกด้าน รวมถึงการใช้มาตรการทางการทหารเพื่อปกป้องอธิปไตย จึงเท่ากับว่ารัฐบาลนี้ ดำเนินนโยบายทางการทูตที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรประเทศ เพื่อนบ้านและเตรียมประกาศสงครามใช่หรือไม่
อย่างไร ก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามซักถามรายละเอียดของตารางแผนปฏิบัติการที่อ้าง ว่า รุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ระบุถึงห้วงเวลาและวิธีการที่จะลงมือหรือไม่ ซึ่งนายจตุพรปฏิเสธที่จะพูดถึงรายละเอียด แต่นำเอกสารชุดหนึ่งที่อ้างว่าเป็นตารางที่แนบท้ายมากับเอกสารชุดที่นายกษิต ส่งถึงนายอภิสิทธิ์มาโชว์สื่อมวลชนเป็นเวลาสั้นๆ พร้อมระบุว่า เอกสารดังกล่าวเรียงลำดับแผนการดำเนินการที่สอดคล้องกับเอกสารชุดแรกที่ได้ เปิดเผยวันนี้ มีการวางแผนกำจัดพ.ต.ท.ทักษิณ ให้สิ้นซากภายในสิ้นปี 2552 ถ้าไม่ได้ก็ต้องภายในเดือนเมษายน 2553 โดยลักษณะคล้ายกับเอกสารลับคมช.ที่เคยนำออกมาแสดง แต่ตนจะรอให้นายกษิตออกมาตอบโต้เสียก่อน จากนั้นจึงจะเปิดเผย ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า
ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่าเอกสารดังกล่าวประกอบด้วย 4 ส่วนคือส่วนที่หนึ่งเป็นการวิเคราะห์ท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งในข้อ 1.3 มีเนื้อหาว่าสถานการณ์ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาจะยืดเยื้อหรือไม่ มิได้ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขภายในประเทศไทยเอง โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าสถานการณ์จะลงเอยอย่างไร ดังนั้นความเป็นเอกภาพของรัฐบาล ทุกส่วนราชการและทุกภาคส่วนของสังคมไทยเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดในการช่วยให้ ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลง ขณะที่ส่วนที่ 2 เป็นแนวทางการดำเนินการ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เป็นไปตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคาดหวัง ส่วนที่3 เป็นจุดหมายปลายทาง (end game) และส่วนที่ 4 เป็นข้อเสนอแนะ
ที่มาข่าว: มติชนออนไลน์

วันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษผู้สร้างประชาธิปไตยของไทย

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ที่เป็นผู้ก่อร่างระบอบสังคมและการเมืองแบบใหม่ในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นผู้นำสายพลเรือนของคณะราษฎร และเป็นผู้เตรียมการทั้งหมดในด้านการบริหารระบอบใหม่ ในการปฏิวัติ ๒๔๗๕ นอกจากนี้ ยังเป็นบุคคลสำคัญ ในการวางรากฐานระบอบการคลังสมัยใหม่ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการเจรจากับต่างประเทศให้ประเทศสยามได้เอกราชสมบูรณ์ และต่อมาเมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นเข้ายึดประเทศไทย ปรีดี พนมยงค์ ก็ยังเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในการต่อต้านญี่ปุ่นและมีส่วนทำให้ประเทศไทย พ้นจากการยึดครองโดยตรงของฝ่ายพันธมิตร แม้ว่า ปรีดี พนมยงค์ จะสร้างประโยชน์ ให้กับประเทศชาติอย่างมากเช่นนี้ แต่ในที่สุด กลับถูกใส่ร้ายป้ายสีจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ในข้อหาสำคัญ คือ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกรณีปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙


ต่อมา หลังการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งทำให้ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ กลุ่มอนุรักษ์นิยมได้ระบายสีภาพลักษณ์ ให้ปรีดี พยมยงค์ กลายเป็นปีศาจร้ายในทางการเมืองมากขึ้น เพราะนอกเหนือจากการเป็นผู้ก่อเหตุเรื่องกรณีสวรรคตแล้ว ยังถูกโจมตีว่าเป็นหัวหน้าใหญ่คอมมิวนิสต์ ที่จะนำอิทธิพลของจีนแดงมาครอบครองประเทศไทย ภาพลักษณ์ของปรีดี ในลักษณะเช่นนี้ติดตัวจนกระทั่งท่านถึงแก่กรรมในต่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ภาพลักษณ์ที่ดี จึงค่อยถูกฟื้นฟูขึ้น จนกระทั่งปัจจุบัน ปรีดี พนมยงค์ ก็กลายเป็นที่ยอมรับในฐานะที่เป็นรัฐบุรุษของประเทศไทย ในลักษณะเช่นนี้ การย้อนกลับไปพิจารณาบทบาทของท่าน จึงมีความน่าสนใจอย่างมาก


ดร.ปรีดี พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ในเรือนแพ หน้าวัดพนมยงค์ อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นลูกคนที่สอง ของนายเสียง ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว มารดาชื่อนางจันทน์ สืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อ "ประยงค์" ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดห่างจากกำแพงพระราชวังด้านตะวันตกชื่อ วัดนมยงค์ หรือ "พนมยงค์" เมื่อมีการประกาศพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ ครอบครัวนี้จึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์"


ปรีดีอธิบายฐานะทางครอบครัวของเขาว่า เป็นชาวนา ที่ค่อนข้างมีฐานะที่จังหวัดอยุธยา ซึ่งเรียกว่าเป็น "ชาวนานายทุนน้อยแห่งชนบท" สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยม ๓ ที่โรงเรียนวัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า ได้เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมปลาย ณ โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร และกลับไปศึกษาที่โรงเรียนมัธยมตัวอย่างประจำมณฑลอยุธยา จนจบชั้นมัธยม ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ อายุได้ ๑๔ ปี หลังจากนั้นออกมาช่วยบิดาทำนาหนึ่งปี และจึงได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐


ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ปรีดีสอบไล่วิชากฎหมาย ชั้นเนติบัณฑิตได้ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมพอใจในผลสอบ จึงให้ทุนเล่าเรียนหลวงไปเรียนต่อด้านกฎหมาย ที่ประเทศฝรั่งเศส ใน พ.ศ. ๒๔๖๓ โดยเข้าเรียนชั้นปริญญาตรีทางกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยก็อง (Univesite de Caen) และศึกษาพิเศษจากศาสตราจารย์เลอบอนนัวส์ (Lebonnois) จนสำเร็จการศึกษาได้ปริญญารัฐ เป็น "บาเซอลิเย" กฎหมาย (Bachelier en Droit) และ "ลิซองซิเย" กฎหมาย (Licencie en Droit) ต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ สำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์ (Sciences Juridiques) และสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง (Diplome d"Etudes Superieures Economic Politique) มหาวิทยาลัยปารีส ได้ปริญญารัฐ "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย"(Docteur en Droit) ณ ประเทศฝรั่งเศส โดยเสนอวิทยานิพนธ์ เรื่อง "Du Sort des Societes de Personnes en cas de Deces d"un Associe" (ศึกษากฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ) นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ศึกษาต่อจนจบดุษฎีบัณฑิตด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัย ปารีส

และในระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่ปารีสนี้เอง ปรีดี พนมยงค์ ได้เริ่มคิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยในระยะแรก ท่านได้สนทนากับเพื่อนสนิท คือ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี ซึ่งเป็นอดีตนายทหารมหาดเล็กของรัชกาลที่ ๖ และเดินทางไปศึกษาวิชารัฐศาสตร์ที่ประเทศฝรั่งเศส การเริ่มคิดการน่าจะเป็นวันหนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งปรีดี และ ร.ท.ประยูร ได้สนทนากันในเรื่องปัญหา ของประเทศไทย และทั้งสองคนมีความเห็นตรงกันว่า จะต้องก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ ประชาธิปไตย ดังนั้น จึงได้ชักชวนให้ ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ นักเรียนทหารปืนใหญ่เข้าร่วมด้วย ต่อมา ได้รวบรวมนักเรียนไทยในยุโรป ๗ คน เปิดประชุมครั้งแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ (ปฏิทินเก่า ถ้าเป็นปฏิทิน ปัจจุบันจะเป็น พ.ศ. ๒๔๖๙) ซึ่งถือเป็นการก่อตั้งคณะราษฎรอย่างเป็นทางการ


หลังจากนั้น กลุ่มนักเรียนนอกเหล่านี้ได้กลับมายังประเทศไทย และรับราชการ ปรีดี พนมยงค์ รับราชการในกรมร่างกฏหมาย กระทรวงยุติธรรม และได้รับบรรดาศักดิ์เป็น หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ส่วน ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ ได้เลื่อนเป็น พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม แต่การคิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังไม่มีโอกาสในการดำเนินการ เพราะมีกำลังไม่เพียงพอ จนเมื่อ ประยูร ภมรมนตรี สามารถชักชวนทหารชั้นผู้ใหญ่มาเข้าร่วมอันได้แก่


๑. พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา(พจน์ พหลโยธิน) รองจเรทหารบก ๒. พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการโรงเรียนนายร้อย ๓. พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) ผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่ที่ ๑ ๔. พ.ท.พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) ผู้อำนวยการแผนกโรงเรียนเสนาธิการทหารบก


ดังนั้น กลุ่มคณะราษฎรจึงลงมือดำเนินการยึดอำนาจ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ โดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา รับเป็นหัวหน้าคณะ พ.อ.พระยาทรงสุรเดชเป็นรองหัวหน้าคณะและเป็นผู้วางแผนการยึดอำนาจ หลวงประดิษฐมนูธรรมรับเป็นหัวหน้าสายพลเรือน เป็นผู้รับผิดชอบ ในการร่างแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญการปกครอง และเป็นผู้ดูแลการบริหาร ราชการหลังการปฏิวัติ และในที่สุดการปฏิวัติก็ประสบผลสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยอมรับเงื่อนไขของคณะราษฎร ที่จะให้มีการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ และจำกัดอำนาจการบริหารของพระมหากษัตริย์ และให้มีรัฐสภา และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุด


หลังจากการปฏิวัติ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนชุดแรก นอกจากนี้ ยังได้รับตำแหน่งเลขาธิการรัฐสภา นอกจากนี้ ยังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการราษฎร และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วย ปรากฏว่า รัฐธรรมนูญฉบับถาวรร่างเสร็จ และประกาศใช้ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามหลักการของรัฐธรรมนูญนี้ ได้กำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติ มีสภาผู้แทนราษฏรเพียงสภาเดียวโดยมีสมาชิก ๒ ประเภท และมีคณะรัฐมนตรีบริหารประเทศ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ก็ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาประเภทที่ ๒ และเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลด้วย


ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ (ปฏิทินเก่า ถ้าคิดเป็นปีปัจจุบัน คือ พ.ศ. ๒๔๗๖) หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อที่จะใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ปรากฏว่าเค้าโครงเศรษฐกิจนี้ได้ถูกคัดค้านอย่างหนักจากฝ่ายของพระยามโน ปกรณ์นิติธาดานายกรัฐมนตรี และเหตุการณ์ขยายตัวจากการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยโจมตีว่ามีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์ กรณีนี้ นำมาซึ่งการที่ รัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯ ออกพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราในวันขึ้นปีใหม่ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำรัฐประหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย เพราะเปิดโอกาสให้รัฐบาลออกกฎหมายบังคับใช้โดยไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้ แทนราษฎร และทำให้อำนาจสมบูรณ์อยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี จากนั้น ในวันต่อมา รัฐบาลก็ได้ออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ .๒๔๗๖ เพื่อที่จะใช้เล่นงานหลวงประดิษฐ์มนูธรรมว่า มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ดังนั้น รัฐบาลจึงจัดการให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เดินทางออกจากประเทศสยามไปยังประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน


ต่อมา พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ร่วมด้วย พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม และ น.ท.หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) ก่อการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เพื่อที่จะรื้อฟื้นการใช้รัฐธรรมนูญ และเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในครั้งนี้ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้เรียกหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับประเทศ เพื่อรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ต่อมาหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง หลวงประดิษฐ์ฯก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการปกครอง ท้องถิ่นตามแบบประชาธิปไตย โดยให้มีการเลือกตั้งเทศบาลทั่วประเทศ นอกจากนี้ ก็คือ การก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อเป็นตลาดวิชา ให้ความรู้ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแก่ประชาชน จากนั้น หลวงประดิษฐมนูธรรม ก็ได้รับตำแหน่งผู้ประศาสน์การ (อธิการบดี) คนแรกของมหาวิทยาลัยฯ


ต่อมา ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศไปเจรจาแกัไขสัญญาไม่เสมอภาคกับชาติมหา อำนาจ การเจรจาครั้งนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ใน พ.ศ. ๒๔๘๑ จึงทำให้ประเทศสยามมีเอกราชสมบูรณ์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การลงนามในสัญญาบาวริง พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นต้นมา และเป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลใหม่ของ พล.ต.หลวงพิบูลสงคราม เปลี่ยนชื่อประเทศจากประเทศสยามเป็นประเทศไทย ใน พ.ศ. ๒๔๘๒


เมื่อหลวงพิบูลสงครามรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งได้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปการคลังของประเทศ เช่น การยกเลิกเงินรัชชูปการ และอากรค่านา ซึ่งเป็นภาษีที่ตกค้างมาจากยุคศักดินา การออกประมวลรัษฎากร เพื่อจัดการภาษีให้เป็นระบบระเบียบ และการเตรียม การตั้งธนาคารแห่งชาติ เพื่อควบคุมเสถียรภาพทางการเงิน ใน พ.ศ. ๒๔๘๕ รัฐบาลได้ยกเลิกบรรดาศักดิ์ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้กลับมาใช้ชื่อเดิมว่า ปรีดี พนมยงค์ อีกครั้ง ในระหว่างนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะสงคราม จากการที่ญี่ปุ่นได้ยกกองทัพบุกประเทศไทย และต่อมา รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามก็ได้เข้าร่วมสงคราม โดยประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ปรีดี พยมยงค์ ได้พ้นจากตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี และรับตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้อาศัยเงื่อนไขนี้จัดตั้งขบวนการใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งกลายเป็นที่มาของขบวนการเสรีไทย โดยปรีดีรับตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของเสรีไทยในประเทศ ใช้นามแฝงในขบวนการว่า รูธ ในระหว่างนี้ ท่านได้มีส่วนสำคัญมากในการผลักดันให้ จอมพล ป.พิบูลสงครามต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ และสนับสนุนให้ นายควง อภัยวงศ์ รับตำแหน่งแทน จากนั้นต่อมา ปรีดี พยมยงค์ ก็ขยายบทบาทของขบวนการเสรีไทยเพื่อเตรียมการต่อต้านญี่ปุ่น แต่สงครามได้ยุติลงก่อน เพราะญี่ปุ่นยอมแพ้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ อย่างไรก็ตาม ด้วยบทบาทของเสรีไทยดังกล่าว มีส่วนทำให้ประเทศไทยพ้นจากภาวะประเทศแพ้สงคราม ในภาวะเช่นนั้น ทำให้เกียรติภูมิของนายปรีดี พนมยงค์ สูงเด่นมาก


หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยบริหารด้วยรัฐบาลพลเรือน ที่มีแนวโน้มประชาธิปไตยอย่างมาก ปรีดี พนมยงค์ ได้รับการยกย่องเป็นรัฐบุรุษ และอยู่ในฐานะผู้ที่มีบทบาททางการเมือง จนกระทั่งวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านก็ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง ในระบบรัฐสภา โดยมีพรรคการเมืองที่สนับสนุนคือ พรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ และ พรรคอิสระ ปรากฏว่า ในระหว่างที่ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นี้เอง ได้เกิดเหตุร้ายเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน นายปรีดีและคณะรัฐมนตรี ได้ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาว่า ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ ควรได้แก่สมเด็จพระอนุชา เมื่อสภามีมติเห็นชอบแล้ว เจ้าฟ้าภูมิพล ก็ได้ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ ๙


เหตุการณ์นี้ ทำให้ศัตรูทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งก็คือพวกอนุรักษ์นิยมเจ้า และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน สบโอกาสในการทำลายนายปรีดี ทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ ร้านกาแฟ และสถานที่ต่างๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ ว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" ซึ่งเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก กลายเป็นกระแสข่าวลือ และนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ และ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคแนวรัฐธรรมนูญ ก็ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ต่อมา เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ คณะรัฐประหารซึ่งประกอบ ด้วย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ พ.อ.กาจ กาจสงคราม พ.อ.เผ่า ศรียานนท์ พ.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ และพยายามจับกุม ตัวปรีดี พนมยงค์ แต่ท่านทราบข่าวก่อนเพียงไม่กี่นาที จึงหนีทัน และต่อมาได้ลี้ภัยการเมืองไปยังบริติชมลายา จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านได้พยายามกลับมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจคืน แต่ประสบความพ่ายแพ้ จากนั้นได้ลี้ภัยต่อไปอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วได้พำนัก อยู่ที่นั่นเป็นเวลาถึง ๒๑ ปี ก่อนจะลี้ภัยต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส ใน พ.ศ. ๒๕๑๓


ในระหว่างที่ปรีดี พยมยงค์ ลี้ภัยต่างประเทศนี้ การใส่ร้ายป้ายสีของฝ่ายรัฐบาลเผด็จการ ร่วมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพิ่มทวีใน ๒ ข้อหา คือ กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ และข้อหาคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะการใส่ร้ายกรณีสวรรคต ดำเนินการโดยนายตำรวจคนสำคัญ คือ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี (เซ่ง อินทรทูต) และในที่สุด ก็ได้นำคดีฟ้องต่อศาล ทั้งที่หลักฐานอ่อนมาก ในกรณีนี้ นำมาซึ่งการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ ๓ คน คือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัททมศรินทร์ และนายเฉลียว ปทุมรส กรณีนี้ ถือได้ว่าเป็นจุดด่างในกระบวนการยุติธรรมของไทย


กระแสการใส่ร้ายป้ายสีในฐานะฆาตกรกรณีสวรรคต และการโจมตีว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้ภาพลักษณ์ของนายปรีดี เสียหายอย่างมาก จนกระทั่ง เมื่อเกิดกรณี ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ จึงได้เริ่มเกิดกระแสรื้อฟื้นภาพลักษณ์ ของปรีดี พนมยงค์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะกลุ่มขบวนการนักศึกษาฝ่ายสังคมนิยมที่มีบทบาทอย่างมากหลัง ๑๔ ตุลาคม กลุ่มนี้จะวิพากษ์ศักดินานิยมและไม่เชื่อในเรื่องการกล่าวหาว่า ปรีดี พนมยงค์ เป็นฆาตกร และยิ่งต่อมา หลังกรณี ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ การกล่าวหาเรื่องกรณีสวรรคต ก็ไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไปในวงการวิชาการ ความพยายามในการที่จะสร้างเรื่องตอก ย้ำความเป็นฆาตกรของปรีดี ไม่ประสบผล ส่วนหนึ่ง ก็มาจากการที่หลักฐานในการกล่าวหาไม่สามารถที่จะสร้างให้มีน้ำหนักได้เลย นอกจากนี้คุณงามความดีที่ทำมาในอดีตของนายปรีดี ก็มีผู้นำมาศึกษาและเผยแพร่มากขึ้น


หลังจากที่ใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ชานกรุงปารีสมานาน ๑๓ ปี ปรีดี พนมยงค์ ก็ถึงแก่กรรมในวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ รวมอายุได้ ๘๖ ปี ชีวิตของ ปรีดี พนมยงค์ สามารถที่จะสรุปได้ดังนี้ "คือผู้อภิวัฒน์การปกครองของประเทศไทย หัวหน้าขบวนการเสรีไทย เป็นผู้มีคุณูปการแก่ชาติ อย่างมากมาย แต่กลับกลายเป็นบุคคลที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีมากที่สุดคนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ สุดท้ายกลายเป็น "คนดี" ที่เมืองไทยไม่ต้องการและเมื่อถึงแก่กรรมก็ได้ฟื้นเกียรติคืนมา"

สมพร จันทรชัย

วันพุธที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

<<< ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ เรื่อง การจารกรรมข้อมูลการบินทักษิณส่งให้เลขาทูตไทยในกัมพูชา >>>

หลังมีข่าวเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับวิศวกรไทย
ที่นำข้อมูลการบินของทักษิณ
ส่งให้เลขาทูตไทยในกัมพูชาขณะนั้น
ก็เกิดกระแสว่าเล่นละครจัดฉากอะไรเรื่อยเปื่อย
เหมือนหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา
เช่นกรณี คาร์บอร์มก็เป็นคาร์บ๊องส์
ซึ่งใช้มุกเดียวกันเลย
เวลาทำงานพลาดก็บิดเบือนใส่ไข่
เพื่อลดความน่าเชื่อถือ
ผมเลยไปพยายามรวบรวมข่าวที่เกี่ยวข้อง
เรียงลำดับให้ดู ลองไล่อ่านจนหมด
แล้วจะวิเคราะห์ได้เองว่า
จัดฉากหรือของจริง
และมีแรงจูงใจอะไรไหม
ในการที่อยากจะรู้เที่ยวบินของทักษิณ
เพื่อสกัดไม่ให้ทักษิณบินผ่านน่านฟ้าไทย
หรืออาจจะหวังปองร้ายอย่างอื่นด้วยหรือไม่

โดย มาหาอะไร

------------------------------------------

รัฐบาลบีบชาติ อาเซียน ร่วมมือล่าตัว“ทักษิณ”ส่งกลับเมืองไทย
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน 2009 เวลา 09:02 น.

“กษิต” รุกหนัก ส่งข้อมูลให้ทูตหลายประเทศ โดยเฉพาะชาติอาเซียน แจ้งความผิด “ทักษิณ” ให้รับทราบ เพื่อให้จับตัวส่งกลับประเทศไทย โฆษกรัฐบาลมั่นใจ แม้ เขมร ไม่ร่วมมือจะต้องได้ตัวที่ไหนสักแห่ง เพราะเครื่องบินต้องแวะเติมน้ำมัน

อัยการเตรียมยื่นเรื่อง ให้ เขมร ส่งตัว “สุเทพ” ประสานตำรวจสากล มหาดไทยเขมร จับตัว ด้าน “ทักษิณ” บินถึง กัมพูชา แล้ว ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา และการต้อนรับอย่างอบอุ่น หลังบรรยายด้านเศรษฐกิจวันที่ 12 พ.ย. จะเดินทางกลับดูไบ

วันที่ 10 พ.ย. 2552 สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานตรงกันว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของ รัฐบาลกัมพูชา และเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ สมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี กัมพูชา

ได้เดินทางโดยเครื่องบินเล็กส่วนตัว ถึงประเทศ กัมพูชา แล้ว หลังจากเครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติ พนมเปญ ก็นั่งรถตู้ตรงดิ่งเข้า กรุงพนมเปญ ท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนา โดยมีทหารถือปืนเฝ้าระวังตามจุดต่างๆในเส้นทางที่ขบวนรถแล่นผ่าน

เขมรหวังพึ่งประสบการณ์ “ทักษิณ”

นาย เขียว กัญฤทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวง แถลงข่าวในฐานะ โฆษกรัฐบาลกัมพูชา กล่าวว่า พ.ต.ท. ทักษิณอยู่ใน กัมพูชา แล้ว เราต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจอันยอดเยี่ยมของ พ.ต.ท. ทักษิณ และมั่นใจว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเราได้

นาย ฟาย สีฟาน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กัมพูชา กล่าวว่า พ.ต.ท. ทักษิณจะได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมจาก รัฐบาลกัมพูชา ภาคเศรษฐกิจของเรา รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก และหวังว่าประชาชนชาวกัมพูชา ทั้งประเทศจะต้อนรับ พ.ต.ท. ทักษิณ อย่างอบอุ่น

เตรียมอาหารจัดเลี้ยงต้อนรับเต็มที่

“พ.ต.ท . ทักษิณและ สมเด็จ ฮุน เซน จะร่วมรับประสานอาหารกลางวันด้วยกัน โดยเราจัดเตรียมอาหารไว้ 9 รายการ เพื่อให้ พ.ต.ท. ทักษิณ เพลิดเพลินกับมื้ออาหารที่เราจัดเตรียมไว้ให้”

ทั้งนี้ ตามกำหนดการ พ.ต.ท. ทักษิณ จะบรรยายด้านเศรษฐกิจให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจของ กัมพูชา ประมาณ 300 คนฟังในวันที่ 12 พ.ย. นี้ ทำให้คาดการณ์ว่า พ.ต.ท. ทักษิณ จะอยู่ในกัมพูชาอีกอย่างน้อย 2-3 วัน ก่อนกลับดูไบ

“มาร์ค” ขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน

ที่ รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ เข้ามา กัมพูชา ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

ผู้ สื่อข่าวถามว่า การเดินทางไป กัมพูชา ของ พ.ต.ท. ทักษิณ จะสร้างความยุ่งยากให้กับสองประเทศหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเจตนาที่เขาแสดงออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราก็เดินตามขั้นตอนของเรา”

อัยการเตรียมส่งเอกสารขอตัว

นาย ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อัยการสูงสุดพร้อมจะส่งเอกสารขอตัว พ.ต.ท. ทักษิณ ถึง รัฐบาลกัมพูชา ในทันที ส่วนจะส่งตัวกลับมาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินของศาล กัมพูชา ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน

“กษิต” รุกขอความร่วมมือชาติอาเซียน

“ทั้ง หมดขึ้นอยู่กับท่าทีของ รัฐบาลกัมพูชา หากไม่ร่วมมือจะทำให้กระบวนการล่าช้า แต่ตามหลักสากลแล้ว รัฐบาลกัมพูชา ไม่สามารถแทรกแซงศาลได้ หากแทรกแซงจะทำให้ กัมพูชา ขาดความเชื่อมั่นจากนานาชาติ” นายปณิธาน กล่าวและว่า

ขณะนี้ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับทูตานุทูตหลายประเทศเพื่อขอความร่วมมือนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคอาเซียน มั่นใจว่าถ้าจับกุม พ.ต.ท. ทักษิณ ในกัมพูชา ไม่ได้ เชื่อว่าต้องจับกุมได้ในประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะเครื่องบินจะต้องไปเติมน้ำมันหลายแห่ง พ.ต.ท. ทักษิณ ต้องพักผ่อนในประเทศต่างๆ หวังว่าประเทศอื่นๆที่มีความเข้าใจจะร่วมมือกับเรา

หวังใช้นานาชาติบีบกัมพูชาส่งตัว

“หลัง จากรัฐบาลส่งข้อมูลความผิดของ พ.ต.ท. ทักษิณ ให้กับนานาประเทศแล้ว มั่นใจว่า หลายประเทศจะส่งสัญญาณให้กับ กัมพูชา ว่าควรเคารพกฎเกณฑ์ระหว่าง ประเทศ” โฆษกรัฐบาลกล่าว

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ประสานกับตำรวจสากล และกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา เพื่อติดตามตัว พ.ต.ท. ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในเมืองไทยแล้ว แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเคลื่อนไหวไปในที่ต่างๆอย่างรวดเร็ว

ที่มา : DAILY WORLD TODAY
http://www.d-dek.org/index.php?option=com_content&view=article&id=244:2009-11-12-02-02-46&catid=3:news-flash

------------------------------------------

เขมรอ้างไทยส่งเครื่องบินล้ำน่านฟ้าวันที่ทักษิณมา
วันศุกร์ที่ 13 พฤษจิกายน 2009 เวลา 16:01 superadmin News

13 พย. 2552 13:53 น.

วิทยุ เอเชียเสรี รายงานว่า ชาวบ้านและตำรวจตระเวณชายแดนของกัมพูชา อ้างว่าเห็นเครื่องบินสอดแนมของไทยอย่างน้อย 4 ลำ รุกล้ำเข้าไปในเขตน่านฟ้าของกัมพูชาที่บริเวณพรมแดนจังหวัดสระแก้ว - จังหวัดบันทาย มีชัย เมื่อคืนวันที่ 10 อังคารที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางถึงกัมพูชา โดยเอเชียเสรีรายงานอ้างชาวบ้านบอกว่า เมื่อ 2 ทุ่มครึ่งของคืนนั้นเครื่องบินของไทยหลายลำบินในระดับต่ำเฉียดหลังคาบ้าน ตั้งแต่เมืองปอยเปตมุ่งหน้าไปทางตะวันตก

ด้าน นายชุก อัง ผู้บัญชาการกองพัน 911 ในพื้นที่ บอกว่า เขาได้สั่งให้ทหารยิงเครื่องบินของไทยที่รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของกัมพูชา แต่เครื่องบิน บินด้วยความเร็วสูงมาก ทำให้ยิงไม่ทัน ขณะที่นายสัม เชธ รองผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดบันทาย มีชัย บอกว่าเครื่องบินของไทยบินอยู่ในฝั่งไทยใกล้กับปอยเปต ไม่ได้เข้ามาในฝั่งกัมพูชา

http://cbnpress.com/index.php/home/39-2008-12-27-13-26-42/2276-2009-11-13-09-02-34

------------------------------------------

เขมรจับวิศวกรชาวไทยขโมยข้อมูลเที่ยวบิน "ทักษิณ"
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2009 เวลา 13:39 น. ทีม ออนไลน์ ข่าวรายวัน - ข่าวต่างประเทศ

กัมพูชา จับวิศวกรชาวไทยอ้างข้อหาเป็นสายลับจากการสอดแนมการเคลื่อนไหว เที่ยวบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วก็อปปี้ส่งข้อมูลกลับมายังประเทศไทย สำหรับวิศวกรไทยรายนี้มีชื่อว่า นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วัย 31 ปี ซึ่งทำงานเป็นวิศวกรของบริษัท CATS ซึ่งถูกจับกุมเมื่อพุธที่ผ่านมาตามหมายจับของอัยการศาลแขวงพนมเปญ

โดย รายงานจาก 3 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวยืนยันตรงกันว่า มีวิศวกรชาวไทยถูกจับกุมตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยถูกต้องข้อหาฐานเผยแพร่ข้อมูลความมั่นคงของกัมพูชา สอดแนมด้วยการก็อบปี้เอกสารเกี่ยวกับเที่ยวบินของอดีตพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในกัมพูชา และนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ผ่านบริษัท CATS ซึ่งเขาทำหน้าที่ควบคุมเที่ยวบินทุกเที่ยวในกัมพูชา และรายงานกลับไปยังประเทศไทย

http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=12247:2009-11-13-06-44-56&catid=177:2009-06-25-09-27-16&Itemid=525

------------------------------------------

วิศวกรไทยรับให้ข้อมูล"แม้ว"แก่จนท.บัวแก้ว

คม ชัดลึก :เขมรออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวบุตรสาว "ฮุน เซน"เข้าถือหุ้นในบริษัทแคทส์ เทเลคอม ทนาย เผยวิศวกรไทยรับให้ข้อมูลเที่ยวบิน'ทักษิณ' แก่เจ้าหน้าที่ทูตไทย

สำนัก ข่าวดีพีเอรายงาน ว่า คณะรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่งปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของสื่อมวลชนไทยฉบับหนึ่ง ที่ว่า บุตรสาวของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชาจะเข้าถือหุ้นในบริษัท"คอมโบเดียร์ แอร์ แทรฟฟิค เซอร์วิสเซส" หรือ แคทส์ เทเลคอม ซึ่งเป็นปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาอยู่ในปัจจุบัน แถลงการณ์ระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เข้ากำกับดูแล และบริหารบริษัทแห่งนี้ เป็นการชั่วคราว เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของผู้นำกัมพูชา โดยแถลงการณ์ไม่ได้ระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาจะเข้าบริหารบริษัทแห่งนี้เป็นเวลานาน เท่าใด

สำนัก ข่าวดีพีเอรายงานว่า เจ้าหน้าที่ชาวไทยคนหนึ่งของบริษัท"แคทส์" ถูกจับเมื่อ 12 พฤศจิกายน ในข้อหาทำให้รายละเอียดของข้อมูลการบินของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรของไทยรั่วไหลในระหว่างที่เขาไปเยือนกัมพูชาเมื่อเร็วๆนี้ หลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกฯฮุนเซน ซึ่งการแต่งตั้งและการเยือนสร้างความขัดแย้งทางการทูตจนความสัมพันธ์ระหว่าง สองชาติเพื่อนบ้านตกต่ำสุดในรอบหลายปี และรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้เรียกทูตของตนกลับประเทศ

ด้านสำนักข่าวเอเอ ฟพีรายงานจากกรุงพนมเปญด้วยว่า นายแก้ว สุภา ทนายความชาวกัมพูชาของนายศิวรักษ์เปิดเผยว่า นายศิวรักษ์ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ของศาลกัมพูชาว่าได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ เที่ยวบิน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้แก่เจ้าหน้าที่การทูตของไทยรายหนึ่งจริง เพราะเจ้าหน้าที่รายนั้นถามถึงเรื่องนี้ในทันทีที่เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณลงจอดที่สนามบินทหารในท่าอากาศยานนานาชาติกัมพูชา โดยที่นายศิวรักษ์เอง ไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในเครื่องบินลำดังกล่าว นายแก้วย้ำด้วยว่า ลูกความของตนไม่ได้กระทำความผิดใดๆ เพราะข้อมูลดังกล่าวไม่ได้เป็นความลับและไม่ได้ลักลอบขโมยมาแต่อย่างใด

นาย แก้วกล่าวว่า ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวนายศิวรักษ์ต่อศาลกัมพูชาในเช้าวันเดียวกันนี้ โดยค้ำประกันกับศาล ด้วยว่า นายศิวรักษ์จะไม่เดินทางกลับประเทศไทยก่อนหน้าที่ศาลจะเริ่มไต่สวนคดีนี้ "ผมยอมรับว่าลูกความของผมได้สารภาพต่อศาลว่าได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ เที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักษิณให้แก่ สถานทูตไทย แต่ผมอยากจะยืนยันว่า เขารายงานต่อสถานทูตหลังจากเครื่องบินลำดังกล่าวลงจอดเพียง 10 นาที โดยที่ไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่บนเครื่องในตอนนั้น เขาไม่ได้ขโมยข้อมูลเหล่านั้น เพราะถือเป็นความรับผิดชอบในอาชีพที่ต้องรู้เกี่ยวกับเที่ยวบินทุกเที่ยว และไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องร้ายแรงแต่อย่างใด และการสอบสวนของศาลในคดีนายศิวรักษ์แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเพียงสัปดาห์ เดียวเท่านั้นเอง" ทนายความ กล่าว เมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 23 พ.ย. รายการข่าว 3 มิติ ได้เปิดเผยจดหมายของนายศิวรักษ์เป็นครั้งแรก โดยมีใจความยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า "ที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดร้ายต่อกัมพูชา ผมไม่ใช่คนจารกรรมข้อมูล ตามที่ทางการกัมพูชากล่าวหา ผมอยากกลับไปอยู่กับแม่ ผมไม่ใช่คนเลว สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยที่เป็นห่วง หวังว่าจะได้ออกจากที่นี่โดยเร็ว"

นายแก้ว โสภา ทนายความ เชื่อว่า นายศิวรักษ์จะได้รับการประกันตัว เพราะนายศิวรักษ์มีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจ มีหลักทรัพย์เพียงพอ และจะไม่ออกจากกัมพูชา ยืนยันว่านายศิวรักษ์ไม่ได้จารกรรมข้อมูลการบิน แม้เขาจะทำงานมานาน แต่ไม่รู้ข้อมูลที่มาที่ไปของใคร รู้เพียงตารางการบินเท่านั้น ทั้งนี้เชื่อว่าจะได้ประกันตัวภายใน 10 วัน

http://www.komchadluek.net/detail/20091124/38549/วิศวกรไทยรับให้ข้อมูลแม้วแก่จนท.บัวแก้ว.html

------------------------------------------

อดีตนักบินขับไล่ -พท.กางหลักฐานแฉคำสั่งยิงเครื่องบินทักษิณ "สุเทพ" ย้ำมีอำนาจสั่งการ ขณะทอ.ยังปฎิเสฐ

ทอ. ยันปฎิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก ปฎิเสธส่งเครื่องบินเอฟ 16 บินประกบ"ทักษิณ"อ้างไม่ได้บินล้ำน่านฟ้าไทย อดีตนักบินขับไล่ -พท.กางหลักฐานคำสั่งแฉ ด้าน"สุเทพ" ย้ำมีอำนาจสั่งการ

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. น.อ.มณฑล สัชฌุกร รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวกรณี พรรคเพื่อไทยระบุว่า รัฐบาลสั่งให้ กองทัพอากาศนำเครื่องบินขับไล่แบบ เอฟ 16 ประกบเครื่องบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างเดินทางออกจากประเทศกัมพูชาว่า ข้อเท็จจริงคือเครื่องบินเช่าเหมาลำเครื่องนี้ ระหว่างเดินทางไป กัมพูชา ได้มีการขอบินผ่านน่านฟ้าของไทย เพื่อเข้าสู่กัมพูชา โดยมีการขอผ่านเส้นทางทั้งขาไปและขากลับ ถือเป็นกฎการบินปกติที่เครื่องบินทุกชนิดปฎิบัติ หากจะเข้าน่านฟ้าประเทศใดต้องขออนุญาต การขอผ่านเส้นทางการบินของไทยก็ไม่ได้แจ้งว่ามีใครเป็นผู้โดยสาร ปกติก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบดังนั้นฝ่ายการบินจึงอนุญาตให้ผ่านน่าน ฟ้าไทย ได้ทั้งขาไปและขากลับ น.อ.มณฑล กล่าวต่อว่า เมื่อรัฐบาลทราบว่าเครื่องบินลำดังกล่าวมี พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เป็นพาหนะเดินทางมาที่ประเทศกัมพูชา ทำให้รัฐบาลสั่งยกเลิกอนุญาตบินผ่านน่านฟ้าไทยในเที่ยวกลับ เพราะมีบุคคลที่ไม่พึ่งประสงค์ จึงให้กรมขนส่งทางอากาศ ไม่อนุญาตให้บินผ่านน่านฟ้าไทย อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศไม่ได้มีการส่งเครื่องบินเอฟ 16 ไปประกบเครื่องบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่ได้บินเข้าน่านฟ้าไทย

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยระบุว่ากองทัพอากาศส่งเครื่องบินรบติดอาวุธหนักประกบเครื่องบิน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า ใช้คำว่าประกบไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้บินเข้ามาในประเทศไทย เขาบินอ้อมไป ส่วนของเราก็บินตามปกติ ห่วงเวลาที่เครื่องบิน พ.ต.ท.ทักษิณ บินไปดูไบนั้น ก็เป็นวันปกติ ซึ่งกองทัพอากาศมีการบินรักษาเขตแดนการบินอยู่ตามปกติ ทั้งนี้เครื่องบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เข้าน่านฟ้าไทย กองทัพอากาศจึงไม่มีการส่งเครื่องบินเอฟ 16 ติดอาวุธหนักเข้าประกบตามที่พรรคเพื่อไทยระบุ และเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เครื่องบินบรรทุกอาวุธหนักประกบเครื่องบินพลเรือน เพราะมีขั้นตอนวิธีปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก

"กองทัพอากาศมีหน้า ที่ปกป้องอธิปไตยน่านฟ้า หากมีเครื่องบินไม่พึ่งประสงค์บินผ่านน่านฟ้า ก็ต้องทำหน้าที่ส่งเครื่องบินขับไล่ปฏิบัติภารกิจ คือ 1.บินสกัดกั้นไม่ให้เครื่องบินลำนั้นเข้ามาในประเทศ 2.บินบังคับให้เครื่องบินลำนั้นลงจอดในสนามบินที่กองทัพอากาศกำหนด เป็นหน้าที่ของกองทัพอากาศอยู่แล้วไม่เฉพาะเครื่องบินที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เราปฏิบัติตามหลักสากลทุกเครื่องบินที่ห้ามเข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศมีการเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง จอดพร้อมบินอยู่ที่ภาคพื้น ถือเป็นมาตรฐานสากลที่ทุกกองทัพของนานาชาติปฏิบัติ"รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าว

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา11.00น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคเพื่อไทย และอดีตนักบินเอฟ-16 ของกองทัพอากาศ แถลงกรณีรัฐบาลสั่งการให้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศ พร้อมติดอาวุธเต็มอัตราศึกขึ้นบินประกบเครื่องบินพ.ต.ท.ทักษิณ ชณะเดินทางออกจากประเทศกัมพูชา ว่า นายสุเทพ เทือก สุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เคยให้สัมภาษณ์ถึงเครื่องบินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่ามา ได้ขออนุญาต

กรมขนส่งทางอากาศ (ขอ.) และบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย เพื่อบินผ่านประเทศไทย เพราะไม่มีการแจ้งว่าเครื่องบินลำดังกล่าวมีอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้โดยสาร จึงไม่จำเป็นต้องล้วงเอาตารางการบินในประเทศกัมพูชา ทันที่ที่รัฐบาลไทยรู้ข้อมูล ในฐานะที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ได้ทำหนังสือสั่งการไปยังวิทยุการบิน ไม่อนุญาตให้เครื่องบินที่อดีตนายกรัฐมนตรี บินกลับผ่านน่านฟ้าไทย เพราะเป็นบุคคลที่ทำผิดกฎหมาย และมีข้อหากระทบความมั่นคง หากฝ่าฝืนก็จะส่งเครื่องบินขึ้นประกบบังคับให้ลงจอดในประเทศและดำเนินการจับ กุมอดีตนายกรัฐมนตรีทันที น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวพร้อมกับ แสดงแผนการบินและคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้ ยกเลิกการอนุมัติของกรมขนส่งทางอากาศที่5779/11/2009 และ5899/11/2009 ว่า จากคำให้สัมภาษณ์นาสุเทพ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะ ในส่วนของตารางการบินนั้น ตามกฎการบินสากล สนามบินต้นทางจะส่งข้อมูลให้กับประเทศที่จะขออนุญาตบินผ่านเฉพาะแบบของ เครื่องบิน นามเรียกขานของเครื่องบิน เส้นทางที่จะบินและข้อมูลจำเป็นอื่นๆเท่านั้น ส่วนข้อมูลของผู้โดยสารที่เดินทางมากับเครื่องบิน เป็นใครชื่ออะไรบ้างนั้น เป็นข้อมูลภายในของกัมพูชา มิได้ส่งให้ทางการไทยรับทราบ

"ขอตั้งข้อ สังเกตว่านายสุเทพ ไปแอบทราบมาได้อย่างไรว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางมากับเครื่องบินลำดังกล่าวจึงได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้ยกเลิก การอนุมัติของกรมขนส่งทางอากาศที่ 5779/11/2009 และ5899/11/2009 เป็นการอนุมัติให้บินผ่านน่านฟ้าไทยของเครื่องบิน CL30 ลำดังกล่าวมีคำเรียกขานN300BZ" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการให้คนไทยคนหนึ่งต้องตกเป็นแพะรับบาปแทนนนายสุเทพ ที่ให้สัมภาษณ์เองว่าเป็นผู้รู้ข้อมูลลับของประเทศเพื่อนบ้าน ขอให้นายสุเทพออกมาชี้แจงว่า นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วิศวกรคนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุมข้อหาจารกรรมข้อมูลไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล รายชื่อผู้เดินทางที่นายสุเทพ อ้างว่าไปรู้มาเอง รวมทั้งนายสุเทพรู้ข้อมูลเรื่องดังกล่าวมาจากไหน รู้มาได้อย่างไรเพื่อทางกัมพูชาจะได้เลิกสงสัย และปล่อยตัวนายศิวรักษ์ และขอเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบช่วยเหลือนายศิวรักษ์ อย่างจริงจัง เพราะในขณะนี้ ดูเหมือนจะตกเป็นเหยื่อของการหาคะแนนเสียงของรัฐบาลด้วยการ ปลุกกระแสชาตินิยม อดีตนักบินเอฟ 16 กล่าวด้วยว่า หลังจากเครื่องบินพ.ต.ท.ทักษิณ บินออกจากประเทศกัมพูชาเวลาประมาณ 9.45 วันที่ 14พ.ย. รัฐบาลสั่งการให้เครื่องบินF-16 สองลำ และเครื่องบินF5 สองลำ แต่ละลำติดจรวดสังหาร 4ลูก และปืนกลอากาศลำละ 450 นัด ขึ้นบินประกบเครื่องบินโดยสารพ.ต.ท.ทักษิณ นักบิน มารู้คำสั่งยกเลิก เมื่อเครื่องเข้าน่านฟ้าไทยแล้ว นักบินจึงได้เปลี่ยนเส้นทางการบิน และทราบมาอีกว่าเครื่องบินรบของไทยที่บินประกบอยู่ในน่านฟ้าไทย อยู่ในระยะจอเรดาร์ 40ไมล์ กรณีดังกล่าวข้าราชการกองทัพอากาศจำนวนมากไม่สบายใจที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ดังกล่าว เพราะเป็นการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ไปในทางที่อาจจะขัดต่อกฎหมาย เนื่องจากเครื่องบินขับไล่ที่ใช้ในภารกิจสกัดกั้นนั้นจะวิ่งขึ้นเพื่อ ปฏิบัติภารกิจได้ 4กรณี ตามพรบ.การปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย ประกอบด้วย 1.ตัวอากาศยานที่ถูกสกัดกั้นต้องกระทำความผิดตามกฎหมายว่า ด้วยการเดินอากาศ 2.ทำผิดอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ 3.ทำผิดกฎหมายอื่น 4.หรือเพื่อป้องกันภยันตรายแก่ราชอาณาจักร

"การ สั่งการนี้ไม่ทราบว่า ใช้เหตุผลตามพรบ.มาตราไหนมาสั่งการ หากนายสุเทพยืนยันว่าเครื่องบินที่พ.ต.ท.ทักษิณ โดยสารมาด้วย กระทำความผิดจนต้องสั่งให้เครื่องบินขึ้นสกัดกั้น ตามกฎหมายระบุว่ากองทัพอากาศจะต้องเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการนำ เครื่องบินวิ่งขึ้นที่มีมูลค่าหลายล้านบาทจากเครื่องบินที่กระทำความผิด ภายใน 30 วัน หากไม่มีการเรียกเก็บเงินก็แสดงว่า นายสุเทพสั่งการครั้งนี้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งการสั่งการให้เครื่องบินเอฟ-16 และ เอฟ-5 ติดอาวุธต็มพิกัดกับเครื่องบินโดยสารพลเรือน ส่อให้เห็นเจตนาของผู้สั่งการ ต้องการให้กองทัพอากาศละเมิดกฎหมายเพราะขั้นตอนการปฏิบัติกับอากาศยาน พลเรือน ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามใช้อาวุธกับเครื่องบันโดยสารเด็ขาด" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวอีกว่า ข้อมูลแผนการบินเป็นเอกสารที่เปิดเผยอยู่แล้ว เพราะได้มีการส่งไปยังหน่วยงานต่างๆที่ต้องรับนำไปปฏิบัติ ตั้งแต่มีการบินเกิดขึ้นในประเทศหรืออาจเรียกว่าเป็นครั้งแรกของโลก ภายใต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้เครื่องบินรบ เอฟ-16 พร้อมอาวุธสั่งการบินขึ้นเพื่อสกัดกั้น อากาศยานของพลเรือนที่มีอดีตนายก รัฐมนตรี โดยสารมาด้วย การสั่งการดังกล่าวถือว่าเป็นการลุแก่อำนาจขาดสติ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่างไรก็ดีอากาศยานที่ลอยขึ้นฟ้า ตัวอากาศยานมีอธิปไตยอยู่ในตัวเองแม้จะมีผู้กระทำความผิดโดยสารมาด้วยก็ไม่ สามารถใช้มาตรการอย่างที่นายสุเทพ ปฏิบัติได้ เว้นแต่ตัวอากาศยานนั้นทำผิดกฎหมายแต่ก็ไม่เกี่ยวกับบุคคลที่โดยสารมาด้วย หากนายสุเทพจะอ้างว่าเป็นการปฏิบัติตามพรบ.อากาศยาน ที่เพิ่งผ่านความเห็นจากรัฐสภาก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะมีเนื้อหาไม่ต่างจากพ.ร.บ.อากาศยาน พ.ศ.2519 ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน สัปดาห์นี้ตนจะยื่นกระทู้ถามนายสุเทพ กรณีดังกล่าวด้วย

ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวเรื่องเดียวกันว่า พรรคเพื่อไทยขยันสร้างข่าว เพื่อทำให้คนตื่นเต้น เรื่องนี้ตนเคยชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่า ตอนที่เครื่องบินของพ.ต.ท.ทักษิณ บินผ่านน่านฟ้าไทย ได้ขออนุญาต แต่ไม่ได้ระบุว่าผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยเป็นใคร เมื่อเครื่องบินดังกล่าวไปจอดที่ประเทศกัมพูชา เมื่อสื่อออกข่าวมา จึงได้ให้ตรวจสอบว่าเป็นเครื่องบินของใคร ทำให้เที่ยวกลับ ห้ามบินผ่านไทย ถ้าผ่านจะจับ ตนเป็นคนสั่งไปเอง เพราะว่า ต้องเตือนเขาก่อน อยู่ๆ ไปบังคับให้ เอาเครื่องลง แล้วจับก็จะเป็นปัญหาเพราะเป็นเครื่องบินของชาติอื่น ไม่อยากจะมีปัญหากับประเทศอื่น แค่ มีปัญหากับกัมพูชาก็หนักพอแล้ว แต่ในตอนเที่ยวกลับเครื่องบินดังกล่าวพยายามจะขอกลับ แต่ก็ไม่ให้กลับ เจ้าหน้าที่จึงถามตนว่า หากเข้ามาให้ทำอย่างไร ตนจึงตอบไปว่า เรามีสิทธิ์บังคับเครื่องบินที่จะไม่อนุญาตให้บินผ่านน่านฟ้าของเรา โดยให้ลงจอด ยืนยันว่า ไม่ได้ส่งเครื่องประกบทั้งเที่ยวไปและกลับ เช่นที่พรรคเพื่อไทยอ้าง เป็นเรื่องขี้โม้ หากทราบตั้งแต่แรกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บินเข้ามาในน่านฟ้าไทย จะไม่แค่ประกบแต่จะสั่งให้จอดทันที ไม่ได้ไปถึงกัมพูชาหรอก

เมื่อถาม ว่าพรรคเพื่อไทยถามว่ารัฐบาลใช้กฎหมายอะไรที่ บังคับไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณ บินผ่านน่านฟ้าไทย นายสุเทพ กล่าวว่า กฎหมายนั้นมี แต่ให้ไปหาเอาเองแล้วกัน สรุปว่าตนมีอำนาจก็แล้วกัน พรรคเพื่อไทยจะทำอะไรก็แล้วแต่เขา ตนก็มีหลักฐานเช่นเดียวกัน ส่วนที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่ามีหลักฐานนั้นคงจะเป็นหลักฐานของตนที่สั่งการไป

http://www.pitakthai.com/politics/3050.html

------------------------------------------

กรุงเทพธุรกิจ
26 พย. 2552 15:58 น.

ใน การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดสุดท้ายก่อนจะปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ นิติบัญญัติ มีนายสามารถ แก้ว มีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธาน โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาคาทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี เรื่องการใช้อำนาจรัฐเกินกว่าเหตุว่า รัฐบาลพยายามไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องหลัก มากกว่าบริหารราชการแผ่นดิน โดยเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ รับเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาที่กัมพูชา ได้รับอนุญาตให้ผ่านน่านฟ้าไทยได้แล้วทั้งไปและกลับ โดยไม่ต้องแจ้งชื่อผู้โดยสาร ที่ต้องเก็บเป็นความลับ แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ระบุในวันที่ 15 พฤศจิกายน ว่าเส้นทางการบินไม่เป็นความลับ เครื่องบินที่พ.ต.ท.ทักษิณ เช่าได้ขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบินผ่านน่านฟ้าไทย ไม่จำเป็นต้องล่วงความลับจากกัมพูชา และทันทีที่รัฐบาลทราบข้อมูลก็สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ยกเลิกบินผ่าน น่านฟ้าไทยขากลับ ไปแอบรู้มาได้อย่างไรว่าเครื่องบินเอ็น 300 บีแซทมี พ.ต.ท.ทักษิณ โดยสารมาด้วย

ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ มาที่กัมพูชา ตอนเดินลงจากเครื่องบิน สื่อถ่ายทอดภาพก็เห็นหมายเลขเครื่องบิน ตนเองสงสัยว่าบินจากไหนไปไหน เพราะเป็นเรื่องความมั่นคง จึงถามไปทางกรมขนส่งทางอากาศ กรมคมนาคมทางอากาศ วิทยุการบินของประเทศ ได้รับคำตอบว่าเครื่องบินลำนี้ยื่นหนังสือขอบินผ่านน่านฟ้า ขาไป 9 พฤศจิกายน ขากลับ 13 พฤศจิกายน หน่วยงานที่รับผิดชอบเห็นว่าเป็นการบินไม่ ประจำ ไม่มุ่งประสงค์การค้า และอากาศยานทะเบียนอเมริกา ตามสัญญาชิคาโก้ จึงอนุญาตเรื่องนี้ไม่มีใครผิด แต่เมื่อเครื่องบินไปจอด คนที่ทำผิดจนศาลตัดสินแล้วและหนีศาล เดินลงมา ก็เป็นการที่เครื่องบินบรรทุก ผู้โดยสารที่ไม่เหมาะสมผ่านประเทศไทย ตนเองก็มีหน้าที่ต้องตรวจสอบ เพราะคนๆนี้มีการกระทำที่อาจกระทบความมั่นคง ตนเองจึงสั่งการไปยังอธิบดีกรมการขนส่ง และวิทยุการบิน ให้ยกเลิกการอนุญาตบินขากลับ ที่ต้องบินผ่านประเทศไทย และแจ้งไปยังบริษัทนี้ว่า ไม่อนุญาตให้เครื่องบินที่เชื่อว่าจะมี พ.ต.ท.ทักษิณ โดยสาร บินผ่านน่านฟ้า เป็นการใช้อำนาจตามปกติที่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง มีเอกสารทั้งหมดยืนยันและเข้าถึงได้ตามช่องทางปกติ ไม่ต้องให้วิศวกรไปจารกรรมข้อมูลจากกัมพูชาส่งมาให้ ฉะนั้นถ้ามีการสมคบให้วิศวกรรับบาป ก็ให้เป็นบาปของคนที่สมคบกันใส่ความ

น.อ.อนุ ดิษฐ์ ถามต่อว่า วันนี้ นายศิวลักษณ์ ชุติพงษ์ วิศวกร กำลังเป็นแพะรับบาป ชัดเจนว่าข้อมูลทั้งหมดไม่ได้แอบรับทราบ ไม่ได้เป็นการจารกรรมข้อมูล อยากถามว่าวันนี้นายศิวลักษณ์ที่ถูกจับ รัฐบาลไทยยังไม่มีมาตรการจะช่วยเหลือ วันนี้เดือนร้อน เพราะการกระทำที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล จะช่วยเหลือคนไทยอย่างไร
นายสุเทพ ตอบว่า มีแต่ท่านกับเขมรที่พูดกันว่านายศิวลักษณ์นำข้อมูลมาให้ตน ทั้งหมดคนไทยได้ยินหมดว่ามีกลุ่มของท่าน กับเขมรที่พูดทิศทางเดียวกัน จึงไม่อยากตอบโต้อะไรมาก รัฐบาลจะช่วยตามขั้นตอนของกฎหมาย

โดยได้ส่ง เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่าประเทศไปพบ ไปดู หากไม่มีทนายก็หาให้ และได้เตรียมเอกสารหลักฐานเหล่านี้ให้ทนายไปสู้คดี สามารถยืนยันกับทางการกัมพูชา ส่วนกระบวนการยุติธรรมจะทำอย่างไร เราก็ต้องเคารพ น.อ.อนุดิษฐ์ ถามว่าข้อมูลที่ได้มาทราบว่าสั่งการให้กองทัพอากาศนำเครื่องบินขับไล่ติด อาวุธเต็มพิกัด จรวดสังหาร ปืนกล เพื่อปฏิบัติภารกิจ หากมีการให้บินขึ้นจริง มีความพยายามอย่างยิ่งยวดหรือไม่ เพื่อทำลายเครื่องบินพลเรือนหรือไม่ ทั้งที่มีกฎสากล ห้ามเอาไว้ว่าห้ามใช้อาวุธปฏิบัติต่อเครื่องบินพลเรือนเด็ดขาด นายสุเทพ ชี้แจงว่า ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนถูกต้องทุกอย่าง ดังนั้นหากมีเจตนา ร้ายจริงก็ปล่อยให้เขาบินเข้ามาก็ถึงปล่อยดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ไม่ได้สั่งการให้เครื่องบินขึ้นไป แต่กองทัพอากาศสั่งให้เครื่องบินเตรียมพร้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินลำดังกล่าวบินเข้ามา เมื่อเครื่องบินลำดับกล่าวไม่ได้เข้ามาเครื่องบินก็บินลาดตระเวนตามปกติ

------------------------------------------

ศาลเขมรตัดสินจำคุกวิศวกรไทย7ปีปรับ1แสน

คม ชัดลึก :ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก"ศิวรักษ์ ชุติพงษ์" วิศวกรชาวไทย 7 ปี ปรับ 1 แสนบาท ข้อหาจารกรรมข้อมูลการบินของ "ทักษิณ" บัวแก้วมั่นใจผลตัดสินไม่ขยายเป็นปมการเมืองระหว่างประเทศ ด้านแม่วิศวกรเครียดขณะฟังการสืบพยาน ขณะที่ลูกชายมีสีหน้าและกำลังใจดี

คณะ ผู้พิพากษาศาลประเทศกัมพูชาได้เริ่มพิจารณาตั้งแต่ช่วงเช้า ของวันที่ 8 ธันวาคม โดยมีครอบครัวของนายศิวรักษ์พร้อมด้วยตัวแทนของกระทรวงการต่างประเทศได้เดิน ทางไปให้กำลังใจด้วย นายศิวรักษ์ ให้การต่อศาลกัมพูชา โดยยืนยันว่า ไม่ได้โจรกรรมข้อมูลอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่ยอมรับว่ารู้จักกับนายนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอก ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ มาเกือบ 2 ปี แต่ไม่ได้ติดต่อหรือสนิทสนมกัน

แต่รับว่านายคำรบได้โทรศัพท์สอบ ถามเรื่องเที่ยวบินในฐานะที่เขาทำงานด้าน นี้ เขาจึงได้สอบถามเพื่อนที่ทำงานด้วยกันที่เป็นชาวกัมพูชา และเพื่อนได้ส่งก๊อปบี้ให้ แต่เขาไม่ได้ส่งต่อให้นายคำรบ นอกจากนี้เขายืนยันว่า การสอบถามเพื่อนชาวกัมพูชาไม่ได้เป็นความลับ เป็นเรื่องปกติของการทำงาน หลังจากนั้นศาลได้ไต่สวนพยานฝ่ายโจทก์อีก 2 ปาก ซึ่งเป็นพนักงานชาวกัมพูชาของบริษัทกัมพูชาแอร์ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือ CATS โดยปากแรก ให้การว่า นายศิวรักษ์ได้มาสอบถามเรื่องตารางการบิน จึงได้เดินขึ้นไปที่ชั้น 3 ภายในที่ทำงานพร้อมกับนายศิวรักษ์เพื่อดูตารางการบิน จากนั้นนายศิวรักษ์ ได้จดข้อมูลใส่มือ ซึ่งส่วนตัวพยาน มองว่า เป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นนายศิวรักษ์ ได้ดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนพยานโจทก์ปากที่ 2 เป็นวิศวกรของบริษัท ให้การต่อศาลว่า เห็นนายศิวรักษ์ และพยานปากแรกเดินขึ้นมาที่ชั้น 3 เพื่อดูตารางการบิน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และไม่รู้ว่า ทั้ง 2 คนดำเนินการอย่างไรต่อผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเวลาการเบิกความของนายศิวรักษ์มีสีหน้าและกำลังใจดีมาก และตอบคำถามชัดเจน

ขณะที่นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดาที่เข้าฟังการพิจารณาคดีด้วยมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนกัมพูชาและสื่อมวลชนไทยจำนวนมาก บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีผู้สน ใจเข้าฟังเต็มห้อง ซึ่งนางสิมารักษ์ น้องชาย และเพื่อนร่วมงานของนายศิวรักษ์ เข้าไปให้กำลังใจตั้งแต่เช้า โดยนั่งบนเก้าอี้แถวที่สอง ห่างจาก นายศิวรักษ์ เพียง 2 เมตร และตลอดการพิจารณาคดี นางสิมารักษ์ สีหน้าเคร่งเครียดตลอด

ต่อมาเวลา 16.30 น. ผู้พิพากษาศาลกัมพูชาได้อ่านคำพิพากษา ตัดสินว่าข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นความลับ ซึ่งการนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปบอกคนอื่นถือว่าเป็นการละเมิดขั้นตอนการรักษา ความปลอดภัยให้แก่บุคคลระดับสูงของกัมพูชา "แผนการบินของท่านทักษิณ มีความสำคัญมากกับรัฐบาลไทยจริง แต่ข้อมูลนี้อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงกับทักษิณได้ ทักษิณเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา และกัมพูชามีพันธะหน้าที่ที่จะต้องรักษาความปลอดภัยให้แก่เขา" ผู้พิพากษาเขมรกล่าว ก่อนจะสั่งลงโทษจำคุก 7 ปีนายศิวรักษ์ และปรับอีก 10 ล้านเรียล ซึ่งถือเป็นโทษขั้นต่ำสุดในข้อหาสายลับ ซึ่งมีระวางโทษจำคุก 7-15 ปี" และทันทีที่ศาลอ่านคำตัดสินจบลง นางสิมารักษ์ถึงกับร้องไห้

บัวแก้วพร้อมให้การช่วยเหลือ"ศิวรักษ์"

นาย ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้มีอยู่ 2 แนวทาง กระทรวงการต่างประเทศจะประสานผ่านกรมการกงสุล ไปยังนางสิมารักษ์ ณ นครพนม เกี่ยวกับการตัดสินใจจะยื่นอุธรณ์ต่อไปหรือไม่ หากไม่ยื่น ก็เสมือนกันยอมรับผิด โดยรัฐบาลก็พร้อมจะดำเนินการยื่นขออภัยโทษ ส่วนจะใช้ระยะเวลาเท่าไรนั้น นายเขียว สัมโบ ทนายความของนายศิวรักษ์จะเป็นผู้ดูรายละเอียด

กต.มั่นใจผลคดีไม่ขยายเป็นปมการเมืองระหว่างปท.

ที่ ทำเนียบรัฐบาล นายชวนนท์ กล่าวว่า ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นเช่นไร และนายศิวรักษ์จะมีความผิดหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่มีผล หรือขยายวงกว้างไปเป็นประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ ถ้ายืนอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล และเรื่องนี้ไม่ใช่คดีของประเทศ พร้อมขออย่าเอาชีวิตของศิวรักษ์เป็นเกมการเมืองระหว่างกัน ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ต้องดูว่านายศิวรักษ์มีความผิดเพราะอะไร เป็นความผิดที่แท้จริงหรือถูกปิดบังความผิดที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ และต้องดูว่าเรื่องดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงของกัมพูชาจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลังเปลี่ยนทนายความใหม่ กระทรวงการต่างประเทศ ได้สนับสนุนข้อมูลให้ แต่ในส่วนของกระทรวงฯยังไม่มีการเตรียมการขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะไม่ทราบ กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชาว่าเหมือนกับกระบวนการยุติธรรมของ ไทยหรือไม่ แต่กระทรวงการต่างประเทศก็พร้อมให้การช่วยเหลือ และต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชาตามขั้นตอนต่อไป สำหรับกระแสข่าวที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ร่างหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษเตรียมไว้แล้วนั้น ถือเป็นการเตรียมการ แต่ในส่วนของกระทรวงฯยังไม่มีการดำเนินการดังกล่าวเมื่อถามว่ากระทรวงการ ต่างประเทศตกเป็นรองพรรคเพื่อไทยหรือไม่ในการ ดำเนินการให้ความช่วยเหลือนายศิวรักษ์ นายชวนนท์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างต็มที่ และไม่ ปฏิเสธการช่วยเหลือจากฝ่ายใด แต่ถ้าใครจะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องการให้มีความจริงใจ

พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกลาโหม กล่าวกรณีพรรคเพื่อไทยทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์ ชุติพงศ์ วิศวกรชาวไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม ว่า พรรคเพื่อไทยทำเพื่อการเมืองของพรรคเพื่อไทย แต่ที่พูดขึ้นมาลอยๆ ว่าไม่เกี่ยวกับการเมืองเป็นเรื่องของคนไทยที่ถูกจับกุมและพยายามช่วยเหลือ ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศก็กำลังดำเนินการอยู่ ส่วนจะเป็นการจัดฉากหรือไม่นั้น ตนไม่ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้

เมื่อ ถามว่า จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์รัฐบาลหรือไม่ พล.อ.อภิชาติ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามดูแลเรื่องนี้เต็มความสามารถ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้รัฐบาลต้องทำงานตามหน้าที่ แต่เมื่อมีเรื่องของการไปร้องขอพรรคการเมืองที่เป็นพรรคฝ่ายค้านให้เข้ามา ช่วยดูแล ก็เป็นเรื่องของความเป็นแม่พยายามที่จะดูแลทุกอย่างเพื่อให้ลูกของตัวเองพ้น ผิดให้ได้ทุกวิถีทาง เป็นใครคงต้องทำอย่างนั้นจึงต้องให้ความเป็นธรรมกับทางผู้เป็นแม่ด้วย

วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

สื่อเขมรชี้ฮุนเซนห้ามนศ.เรียนต่อไทย


คมชัดลึก :สั่ง ยกเลิกการช่วยเหลือจากไทยทุกรูปแบบ ลั่นใครไม่เชื่อถูกไล่ออก โวเขมรไม่เคยขอความช่วยเหลือจากไทย แต่ไทยยื่นมือช่วยเอง ย้ำชัด แม้จนก็จนอย่างมีศักดิ์ศรี


(2ธ.ค.) แหล่งข่าวแจ้งว่า น.ส.พ.รัศมีกัมพูชา ฉบับวันที่ 1 ธ.ค.52 เปิดเผยว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้กล่าวต่อสื่อมวลชน ในโอกาสที่เดินทางไปเป็นประธานในพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตอุโบสถวัดไพรนคร อ.ปะยากะแอก จ.กำปงจาม เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า นับตั้งแต่ปี 2537-ปัจจุบัน มีบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างกัมพูชากับไทย ทั้งหมดจำนวน 23 ฉบับ บางฉบับได้ยกเลิกไปแล้ว บางฉบับกำลังดำเนินการ

สม เด็จฮุน เซน ได้เสนอให้หน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและระดับจังหวัดของกัมพูชา พิจารณาความช่วยเหลือด้านต่างๆ ของไทยใหม่อีกครั้งหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นหนี้บุญคุณไทย ความช่วยเหลือใดที่ไม่มีความจำเป็นก็ขอให้คืนไทยไป อย่าให้เขาพูดได้ว่า เขาให้การช่วยเหลือเราอีก แต่หากรัฐบาลชุดใหม่มาบริหาร ก็ค่อยพิจารณากันใหม่อีกครั้ง แต่จงอย่ารับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลชุดนี้เป็นอันขาด

สมเด็จฮุน เซน กล่าวต่อว่า ประเทศกัมพูชา ยากจนก็จริงอยู่ แต่ก็จนอย่างมีคุณค่า นักศึกษากัมพูชา ถ้าไม่มีความจำเป็นอย่ารีบส่งไปศึกษาในประเทศไทย แม้ว่าเขาจะให้ทุนการศึกษาก็ตาม ไม่ต้องไปเป็นหนี้บุญคุณเขา เพราะเราสามารถเรียนต่อในกรุงพนมเปญได้ โดยตนจะเป็นผู้รับประกันออกทุนการศึกษาให้เอง

สมเด็จฮุน เซน กล่าวอีกว่า ตนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากเมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย พูดถึงเรื่องยุติความช่วยเหลือ ยกเลิกเงินกู้ยืม ต่อจากนี้ไปขอให้เลิกพูดคำนี้ได้แล้ว เพราะเป็นคำพูดที่ต่ำต้อยแบบเด็กๆ จะคิดว่าจะเอาคำพูดแบบนี้มาข่มขู่ประเทศเราได้หรือ อาจจะได้ในตอนแรกเฉพาะในไตรภาคีที่อยู่ในประเทศไทย แต่หากรู้จักฮุน เซนให้มากกว่านี้จะรู้ว่า ตนไม่เคยไปขอพึ่งรัฐบาลไทยถึงดินแดนไทยเลย คุณเองต่างหากที่เคยให้การช่วยเหลือ นายพล พอล พต ให้การช่วยเหลือไตรภาคีโจมตีกัมพูชา คุณต้องศึกษาประวัติศาสตร์ข้อนี้ด้วย และการแตกหักกับกัมพูชาครั้งนี้ไม่ใช่เราเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เป็นนายกรัฐมนตรีไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้เริ่ม ขึ้น ที่ผ่านมาตนไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครทั้งนั้น

สมเด็จฮุน เซน กล่าวฝากไปยังประชาชนชาวกัมพูชาใน จ.เสียมเรียบและอุดรมีชัย ว่า ไม่ต้องตกใจหรือเสียใจแต่อย่างใด ตอนนี้เรามีเครื่องจักรกลพร้อมหมดแล้ว ตนจะไปเปิดสำนักงานซ่อมแซมถนนหมายเลข 68 ในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ โดยใช้เงินและแรงงานของกัมพูชาทั้งหมด แม้ว่าเราขาดแคลนเงินทุนแต่เราก็ไม่ต้องการให้ใครดูหมิ่นเหยียดหยาม ถนนที่กัมพูชาทำขึ้นแม้จะไม่ได้เอาเงินไทยมาทำ แต่คนไทยก็ยังสามารถขนสินค้ามาขายที่กัมพูชาได้เช่นเดิม เพราะตนไม่ได้เป็นศัตรูกับพี่น้องชาวไทย

สมเด็จฮุน เซน กล่าวอีกว่า นายอภิสิทธิ์ เลิกคิดหาวิธีกดขี่กัมพูชาได้แล้ว ถ้าจะปิดพรมแดนก็ลองปิดดู ผู้ที่เสียหายคือประชาชนไทย ถ้าปิดน่านน้ำทางทะเลผู้ที่เสียหายคือชาวประมงไทย แต่เราจะไม่ปิดพรมแดนอย่างแน่นอน

“เจ้าหน้าที่กัมพูชาคนไหนกล้า ไปขอเงินไทยโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากผมก่อนขอให้ลาออกจากตำแหน่งไปได้เลย แต่ถ้าเป็นของผู้ใจบุญคนอื่นก็รับได้แต่ต้องไม่ใช่ของนายอภิสิทธิ์และ นายกษิต ส่วนบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจในกัมพูชาก็ดำเนินธุรกิจต่อไปเพราะเราเคารพ กฎหมายการลงทุนระหว่างประเทศมาตลอด” สมเด็จฮุน เซน กล่าว

วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

สคส สักใบเพื่อเธอ...ดา ตอร์ปิโด


ในวาระเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการส่งความสุขของมนุษย์ทุกคนบนโลก บางคนอาจจะเดินทางไปท่องเที่ยวในวันหยุดเทศกาล บางคนไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง แต่สำหรับบางคนเขาไม่มีอิสรภาพในการที่ออกมาสังสรรค์ร่วมกับญาติสนิทมิตร สหาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ คุณดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม ดา ตอร์ปิโด ผู้ต้องหาที่โดนตัดสินจำคุกเป็นเวลา 18 ปีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

คุณดา ตอร์ปิโด เธอเป็นตัวแทนของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จากการเข้าพบพูดคุยกับเธอ ณ ทัณฑสถานหญิงคลองเปรม เธอได้เล่าถึงความเป็นอยู่ในเรือนจำว่ายังมีสภาพที่แย่อยู่มากทั้งทางด้าน อาหารการกิน และความเป็นอยู่นอกจากนี้เธอยังถูกกลั่นแกล้งทำให้เกิดเรื่องชกต่อยอยู่เป็น ประจำ แม้เธอจะต้องทนกับสภาพแบบนี้แต่เธอเองไม่เคยท้อถอยกลับยังมีรอยยิ้มและความ สดใสที่มอบให้เราเสมอทุกครั้งที่เราไปเยี่ยม เธอกล่าวว่าสิ่งที่ทำให้เธอยังมีกำลังใจสู้อยู่ได้ขนาดนี้ก็คือ จดหมายของผู้คนทั่วทุกมุมโลก ที่ส่งกำลังใจให้เธอ ทำให้เธอไม่รู้สึกว่าถูกโดดเดี่ยวจากสังคมภายนอก

ในโอกาสเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้นี้ “กลุ่มพลังรวมใจ” จึงคิดโครงการ ส่งความสุขถึงดา เพื่อเป็นการเชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้รักความยุติธรรมได้ส่ง ส.ค.ส ถึงคุณดา ตอร์ปิโด เพื่อเป็นกำลังใจ และส่งความสุขไปถึงคุณดา ตอร์ปิโด โดยทางกลุ่มตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ 10,000 ใบ ทั้งนี้เพื่อเป็นการนำ ส.ค.ส ทั้งหมดที่ได้รับจัดส่งต่อให้คุณดา และจะทำการ Scan ภาพ ส.ค.ส ทั้งหมดเพื่อนำมาจัดนิทรรศการและแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและเชิญทางกินเนสบุ๊ค มาบันทึกสถิติในฐานะที่คุณดา ตอร์ปิโดเป็นผู้ต้องขังที่มีคนส่ง สคส ถึงมากที่สุดในโลก

สุดท้ายนี้จึงขอเชิญชวนพี่น้องผู้รักความเป็นธรรม ส่ง สคส ถึงคุณดา มาที่ ตู้ ป.ณ 58 ปณศ (พ) พระโขนง กรุงเทพฯ 10110 วงเล็บมุมซองว่า (สคส ดา) หรือหากไม่สะดวกสามารถส่ง E-Card มาได้ที่ wemissyouda@gmail.com “กลุ่มพลังรวมใจ” หวังว่าจะได้รับการตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมนี้จากพี่น้องผู้รักความเป็นธรรม เราจะร่วมกันต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กลับคืนสู่สังคมไทย

กลุ่มพลังรวมใจ

ติดต่อผู้ประสานงาน : คุณกาญจนา ศรีพรประชา (เก๋)
เบอร์ติดต่อ : 086-3190609
อีเมล์ล : wemissyouda@gmail.com

วันพุธที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

เส้นทาง OTOP สู่ OVOP เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

กระบวนการพัฒนาสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ โอท็อปในประเทศไทย มีต้นแบบมาจากกระบวนการ หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OVOP) ของจังหวัดโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่า ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถกระตุ้น สร้างพลังของชุมชน และ พัฒนาการผลิตท้องถิ่นด้วยมุมมองในระดับสากล แต่กรณีสินค้าโอท็อป แม้ว่ากว่า 6 ปีที่ผ่านมา จะประสบความสำเร็จมาได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถ สร้างมาตรฐานในระดับใกล้เคียงกับ OVOP โออิตะ

เส้นทางของสินค้าโอท็อป ที่จะเดินไปสู่ความสำเร็จ เช่น “โออิตะ” จะเป็นอย่างไร และ สินค้าโอท็อปของไทยมีจุดอ่อนที่ควรจะปรับปรุงอย่างไร ดร.กิตติ ลิ่มสกุล อาจารย์ ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่า เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ก่อตั้ง และเสนอแนวคิดสินค้าโอท็อปของไทยกล่าวว่า จุดอ่อนที่สำคัญคือ การพัฒนาไม่ สอดคล้องกับปรัชญาของ OVOP ของประเทศญี่ปุ่น เพราะสินค้าโอท็อปเป็นการพัฒนา จากภายนอก และไม่ได้เกิดจากการคิด หรือริเริ่มของคนในชุมชน ทำให้การพัฒนาไป ผูกติดกับการสนับสนุนของภาครัฐเป็นหลัก มากกว่าการพึ่งพาของคนในชุมชน ที่สำคัญคือ กระบวนการดำเนินงานไม่สอดคล้องกับหลักปรัชญา OVOP ทั้ง 3 ประการดังนี้ ประการแรก สินค้าโอท็อปที่เป็นการนำภูมิปัญญาจากท้องถิ่นสู่ตลาด สากลยังไม่เพียงพอ คือ ผลิตภัณฑ์ไม่แตกต่างและขาดเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น, ขาด ความคิดริเริ่มใช้วัตถุดิบท้องถิ่นน้อย หรือไม่ใช้เลย, ผลิตภัณฑ์ขาดเรื่องราวเพื่อ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์, ขาดการตีความหมายที่ถูกต้องของคำว่า “ภูมิปัญญา ท้องถิ่น”, การพัฒนาด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ยังมีน้อย และภูมิปัญญาในด้าน การผลิตจำเป็นต้องได้รับการต่อยอดทางด้านความรู้และเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ ต้องการการพัฒนารูปแบบให้เข้ากับสมัยนิยม

ประการที่ 2 การพึ่งพาตนเอง และความ ริเริ่มยังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะรอคอยการ ชี้นำและสนับสนุนของภาครัฐคือ มีการจัดตั้ง กลุ่มในชุมชนเพียงร้อยละ 60 และเกิดจาก การริเริ่มของภาครัฐจำนวนร้อยละ 40 ประการ ที่ 3 ขาดการพัฒนาด้านคน และนโยบาย ของสินค้าโอท็อป ยังเน้นการผลิตเป็นสำคัญ ประการที่ 4 ผลประโยชน์ของสินค้าโอท็อป ยังกระจุกตัวในกลุ่มชุมชนก้าวหน้าเท่านั้น ประกอบกับหน่วยงานท้องถิ่น ขาดข้อมูลเชิงลึก ด้านศักยภาพของชุมชน ทำให้ไม่สามารถวาง แผนของแต่ละชุมชนได้อย่างถูกต้อง ต้องเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา OTOP ดร.กิตติกล่าวว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ของชุมชน ต้องคำนึงถึงมาตรฐานในระดับ ประเทศ หรือสากล โดยยึดมั่นบนพื้นฐาน ของทรัพยากรท้องถิ่น และต้องเข้าใจด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ในทัศนะของ OVOP หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากความสามารถและศักยภาพ ของทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาของคน ในชุมชนเป็นหลัก

ที่สำคัญคือ ต้องพยายามที่ดึงความโดดเด่น หรือเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น มาผูกกับตัว ผลิตภัณฑ์สินค้าโอท็อป ซึ่งคนในท้องถิ่น จะต้องค้นหาสิ่งที่มีคุณค่าของท้องถิ่น และนำ วัฒนธรรมมาใช้เพื่อผลิต “ผลิตภัณฑ์ที่มี มูลค่าสูง” เพื่อไม่ให้เกิดการผลิตที่ซํ้าซ้อนกัน เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ส่วนด้านการสนับสนุนของภาครัฐ ควร ปรับเปลี่ยนบทบาทที่เน้นเทคโนโลยีและ การตลาด มากกว่าสนับสนุนด้านเงินทุน พร้อมกับปรับกระบวนทัศน์ของวิสาหกิจชุมชน ที่นำไปสู่การพึ่งพาของคนในชุมชน ด้วยการ บ่มเพาะ เพื่อสร้างจิตสำนึกและกระตุ้นให้ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนตระหนักว่าตนเองสามารถ คิดได้และทำได้ และสร้างความเชื่อมั่นใน ตนเอง และเกิดความกล้าคิดริเริ่ม ความอุตสาหะ และยืนหยัดได้ด้วยตนเองในที่สุด นอกจากนี้ควรมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างสินค้าโอท็อปกับปรัชญาของ OVOP และ จัดคณะไปดูงานที่จังหวัดโออิตะอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้เข้าใจปรัชญาที่แท้จริงของ OVOP ที่ปัจจุบันกลายเป็นต้นแบบให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียนำไปศึกษา และประยุกต์ใช้ ดร.กิตติกล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนา วิสาหกิจชุมชนให้สำเร็จ จะต้องให้ความสำคัญ ด้านพัฒนาคน มากกว่าพัฒนาด้านสินค้า จึง ควรมีการจัดฝึกอบรม สัมมนา จากผู้เชี่ยวชาญ สาขาต่างๆ เพื่อให้คนในชุมชนสามารถนำ ความรู้ที่ได้ไปต่อยอดและพัฒนารูปแบบการ พัฒนาของชุมชนแต่ละแห่งได้ ขณะเดียวกันควรมีการประดิษฐ์คิดค้น เครื่องมือ/เครื่องจักรขนาดเล็ก สำหรับใช้งาน ของกลุ่มต่างๆ ให้มากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มประ- สิทธิภาพการผลิต เพราะในปัจจุบันกลุ่มต่างๆ ยังขาดแคลนเครื่องมือที่เหมาะสมและขาดผู้ให้ ความสนใจในเรื่องนี้ และภาครัฐควรจัดตั้งศูนย์ ฝึกอบรมให้กับชาวบ้าน ผู้ผลิตรายย่อย เพื่อ เตรียมความพร้อมในการรับนวัตกรรมใหม่ๆ ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ การพัฒนา ผลิตภัณฑ์ของชุมชนควรมุ่งไปทิศทางที่สร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับผลิตภัณฑ์ และเน้นการ พัฒนากึ่งกลางระหว่างภาคเกษตรกรรมและ ภาคอุตสาหกรรม หรือมุ่งไปสู่อุตสาหกรรมการ แปรรูปผลผลิตเกษตรให้มากขึ้น ส่วนในจังหวัด ที่มีแหล่งท่องเที่ยว ควรพัฒนาควบคู่ไปกับการ พัฒนาสินค้าโอท็อป หรือพัฒนาแหล่งจำหน่าย สินค้าท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร ภัตตาคาร ฯลฯ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับคนในชุมชน

โอยามา : หมู่บ้านแหล่งกำเนิด OVOP หมู่บ้านโอยามา (Oyama) ต้นกำเนิดของ OVOP เป็นชุมชนที่มีพื้นที่การเกษตรจำกัด ไม่มีอุตสาหกรรมหลัก และตั้งอยู่ห่างไกลจาก เขตเมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจังหวัด Oita ซึ่งในปี 2504 ชาวบ้านในหมู่บ้านรวม 1,000 ครัวเรือน ได้ริเริ่มโครงการ “บ๊วยใหม่และ

เกาลัด” (New Plum and Chestnut : NPC) เป็นโครงการส่งเสริมการเพาะปลูกบ๊วยและ เกาลัด ในรูปแบบการเกษตรผสมผสาน เพราะ บ๊วยและเกาลัดเป็นพืชที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ และภูมิอากาศของหมู่บ้าน และก่อให้เกิดรายได้ ค่อนข้างสูงแก่ชาวบ้าน เพราะบ๊วยและเกาลัด ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าข้าว (ซึ่งเป็นพืช หลักดั้งเดิมของท้องถิ่น) ถึงร้อยละ 40 และ ใช้แรงงานน้อยกว่าการปลูกข้าว โครงการนี้มีพัฒนาการ 3 ระยะ คือ ระยะ ที่ 1 (2504-2507) เป็นช่วงแรกของการ ส่งเสริมการปลูกบ๊วยและเกาลัดแทนการ ปลูกข้าว ซึ่งขัดกับนโยบายการเกษตรของ ภาครัฐในขณะนั้นที่ส่งเสริมให้เกษตรกร ปลูกข้าว เหตุที่เกษตรกรไม่ยอมปลูกข้าวนั้น เป็นเพราะข้าวให้รายได้ตํ่า จึงได้ปรับมาแปรรูป สินค้าเกษตรโดยคนหนุ่มสาวของชุมชน ต่อมาในระยะที่ 2 (ปี 2508-2511) ผู้นำ หมู่บ้านเกรงว่า เมื่อชาวบ้านมีรายได้สูงขึ้น แล้วจะเกียจคร้าน จึงต้องจัดกิจกรรมให้คน หนุ่มสาวมีโอกาสได้ไปดูงานต่างประเทศ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ขยันทำงานแล้ว ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ของชาวบ้าน ซึ่งเป็น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อีกทางหนึ่ง ส่วนระยะที่ 3 (ปี 2512 เป็นต้นมา) การพัฒนาในหมู่บ้านเน้นการปรับสภาพ- แวดล้อมให้น่าอยู่อาศัย และสร้างสิ่งอำนวย ความสะดวกต่างๆ เช่น ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์ข้อมูลชุมชน เป็นต้น เพื่อให้คนใน ชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หมู่บ้านโอยามานับเป็นต้นแบบ ของการพัฒนาชุมชนด้วยคนใน ชุมชนเอง และยังเป็นการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ให้ริเริ่มสร้าง- สรรค์ พึ่งพาตนเอง และพัฒนา สิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งการพัฒนา ชุมชนของหมู่บ้านโอยามานี้ เป็นผลให้รัฐบาลยินยอมให้ ดำเนินนโยบายที่แตกต่างกัน ในแต่ละท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับความ ต้องการของคนในชุมชน เพราะคนในชุมชนย่อม ทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเองได้ดี กว่าคนภายนอก พัฒนาการ OVOP ในจังหวัดโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น

รูปแบบการพัฒนาของหมู่บ้านโอยามาได้ ถูกนำไปปรับใช้เป็นนโยบายการพัฒนาของ จังหวัดโออิตะ ในปี พ.ศ. 2522 โดยผู้ว่า- ราชการจังหวัด นายโมริฮิโกะ ฮิรามัทซึ (Morihiko Hiramatsu) และแพร่กระจาย ทั่วทุกหมู่บ้านและเมืองภายในจังหวัดในปี 2523 โออิตะเป็นจังหวัดเล็กๆ บนเกาะคิวชู (Kyushu) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ใกล้กับประเทศไต้หวันและเกาหลี เป็นเขตที่ ประชาชนยากจน และล้าหลัง เนื่องจาก โออิตะมีพื้นที่ทำการเกษตรเพียงร้อยละ 10 และมีโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมหลัก น้อยกว่าจังหวัดอื่น ทำให้ประสบปัญหาการ อพยพย้ายถิ่นของแรงงาน

กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OVOP ของ “โออิตะ” เป็นกระบวนการที่มีลักษณะ เฉพาะตัวและเป็น “การพัฒนาจากภายใน” ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีรากเหง้าคือ มิได้ เกิดจากนโยบายรัฐ (ทั้งในระดับชาติและ ภูมิภาค) แต่เกิดจากการริเริ่มและผลักดัน ของคนในชุมชน

การพัฒนาจากภายในของ OVOP คือ การ สร้างอรรถประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรใน ท้องถิ่น เพื่อปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ ของคนในชุมชน โดยยังคงกลิ่นอายของสิ่ง- แวดล้อมทางธรรมชาติ การวัดความเจริญ เติบโตของภูมิภาคได้ถูกปรับเปลี่ยนจากการ คำนึงถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) หรือรายได้ของประชาชนในจังหวัด เป็นความ พอใจมวลรวมประชาชาติ (GNS) หรือ ความ พอใจของประชาชนในจังหวัด ซึ่งแนวคิดพื้นฐาน หรือหลักปรัชญา OVOP ประกอบด้วย 3 ประการคือ

1)คิดระดับโลก แต่ทำระดับท้องถิ่น หรือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล (Local to Global) คือ ผลิตสินค้าที่คงกลิ่นสี และวัฒนธรรม ท้องถิ่น ที่สามารถเข้าถึงรสนิยมของผู้บริโภค ทั่วประเทศและทั่วโลก ยิ่งเป็นสินค้าที่มี เอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะถิ่นมากเพียงไร ก็จะ ยิ่งมีชื่อก้องโลกได้เพียงนั้น ดังนั้นการผลิต สินค้ามิใช่เพียงเพื่อสนองความต้องการของ ชุมชนเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงมาตรฐานใน ระดับประเทศหรือสากลด้วย

2)เป็นอิสระ พึ่งพาตนเอง และคิดอย่าง สร้างสรรค์ (Self-reliance and Creativity) กล่าว คือ กิจกรรมต่างๆ ต้องมาจากความต้องการ ของคนในชุมชนโดยตรงคือ ประชาชนใน ท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะพัฒนาสินค้าใด เข้าร่วมโครงการ (สามารถเลือกได้มากกว่า 1 ชนิด) ส่วนหน่วยงานรัฐมีหน้าที่เพียงให้ การสนับสนุนเทคโนโลยีและการตลาดเท่านั้น ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ทำ ให้ OVOP เป็น มากกว่าโครงการเพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้า ที่มีลักษณะเฉพาะเท่านั้น แต่ยังครอบคลุม ถึงกระบวนการฟื้นฟูชุมชนด้วย

3)การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) ซึ่งเป็นเป้าหมาย สูงสุดของ OVOP แรงขับเคลื่อนที่แท้จริงของ การพัฒนาภูมิภาค คือ “มนุษย์” ซึ่งจำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องมีความกล้าท้าทาย และมี วิสัยทัศน์กว้างไกล จึงจะสามารถเป็นผู้นำ กระบวนการพัฒนาในแต่ละชุมชนได้ อันจะ ทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคพัฒนาไปได้อย่าง อัตโนมัติและเป็นธรรมชาติ ดังนั้น คำว่า “ผลิตภัณฑ์” ไม่ได้หมายถึง “สินค้า” เท่านั้น แต่หมายถึงผลิตผลจากความ สามารถของมนุษย์ ซึ่งสะท้อนถึงการสร้าง ทรัพยากรมนุษย์ด้วย

ในช่วงแรกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OVOP ในจังหวัดโออิตะ ประชากรในโออิตะ มีรายได้ต่อหัวตํ่าสุดในเกาะคิวชู และประสบ ปัญหาการอพยพของประชากร โดยเฉพาะ คนรุ่นใหม่ แต่เมื่อ OVOP ผ่านการพัฒนา จนกระทั่ง “Oita Brand” เริ่มเป็นที่รู้จักไป ทั่วประเทศ ประชากรจึงหวนกลับคืนท้องถิ่น และมีรายได้เพิ่มเป็น 2 เท่า คือ 80,000 บาท/คน/เดือน จากเดิมที่อยู่ในระดับ 40,000 บาท/คน/เดือน

ในขณะที่จำนวนผลิตภัณฑ์ ซึ่งขึ้นทะเบียน ภายใต้โครงการ OVOP ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 143 ชนิดในปี 2523 เป็น 336 ชนิด ในปี 2544 และมูลค่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นจาก 35.9 พันล้านเยน เป็น 141 พันล้านเยน ใน ช่วงเวลาดังกล่าว

“ส่วนหมู่บ้านโอยามาที่เป็นต้นแบบของ โออิตะ มีผลิตภัณฑ์กว่า 100 ชนิด จนได้ชื่อว่า “One Village Hundred Products” ซึ่ง ประกอบด้วยสินค้าเกษตรขั้นพื้นฐาน (เช่น เห็ด ผัก เป็นต้น) จนกระทั่งถึงผลิตภัณฑ์ อาหารแปรรูป (เช่น ขนมปัง ไส้กรอก สมุนไพร แปรรูป เป็นต้น) และยังมีร้านค้าริมทาง Kanohana Garten ซึ่งขายสินค้าชุมชนให้ กับผู้บริโภค โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว และ รับซื้อสินค้าชุมชนจากคนในชุมชนและชุมชน อื่นๆ ร้านค้าริมทางเป็นจุดที่ทำให้เกิดการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายด้วย” ปัจจุบันรูปแบบ OVOP ได้แพร่ขยายไปกว่า 3,000 ท้องถิ่นทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศ ต่างๆ ในอาเซียน ได้แก่ จีน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย กัมพูชา และลาว รวมถึง มองโกเลีย และสหรัฐอเมริกา แม้ว่า วิธีการนำไปใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละ ประเทศ แต่มีจุดประสงค์ของการนำไปใช้ คล้ายคลึงกัน คือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับ ท้องถิ่น เพิ่มจิตสำนึกของคนในชุมชน พัฒนา คุณภาพของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และขยาย โอกาสทางการตลาดจนกระทั่งสามารถส่งออก ได้