Fri, 2009-12-18 19:20
มติชนออนไลน์รายงาน ว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช.นำ เอกสารตราครุฑ ประทับคำสั่ง ลับมากและด่วนที่สุด ที่กต 1303/2555 กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา กทม.10400 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 ลงลายมือชื่อนายกษิต ภิมรมย์ รมว.ต่างประเทศ และส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาประกอบการแถงข่าว โดยเอกสารดังกล่าวระบุ เรื่องแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยอ้างถึง หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ลับมาก ด่วนที่สุดที่ กต 1302/2318 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.เอกสารแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 2.ตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียมมาตรการป้องปรามและตอบโต้ การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างเป็นขั้นตอน
นายจตุ พร กล่าวว่า เอกสารดังกล่าว ได้รับมาจากนายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ที่ได้รับมาจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอีกทีหนึ่ง ซึ่งพบว่าเนื้อหามีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นรูปธรรมซึ่งจะพัฒนาไป สู่การประกาศสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือ ข้อ 2.4 ที่ระบุเนื้อหาให้บริหารจัดการเวลาให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลไทยมากที่สุด โดยการเร่ง พิจารณาคดีต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งเนื้อหานี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตนเคยออกมาบอกว่ามีบิ๊กนายทหาร 3 นาย เป็น "ป" 2 นาย จะเร่งรัดคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 6 มกราคม 2553 ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เห็นว่านายกษิตเสียมารยาทและสะท้อนว่าฝ่ายบริหารมี อำนาจสั่งการ แทรกแซงศาลได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข้อ 3.ระบุถึงจุดหมายปลายทาง โดยให้มีการปรับความสัมพันธ์สู่ปกติ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของกัมพูชา แสดงว่าเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ข้อมูลว่าจะมีการทำรัฐประหารใน กัมพูชา โดยการสนับสนุนของรัฐบาลไทยใช่หรือไม่
แฉแผนสังหาร"แม้ว"ภายในปี 52
นายจตุ พร กล่าวว่า นอกจากนี้ประเด็นสำคัญยังมีการระบุด้วยว่าปัญหาทั้งหมดมาจากการที่พ .ต.ท.ทักษิณ มุ่งทำลายความอยู่รอดของรัฐบาลดังนั้นจำเป็นต้องมุ่งไปที่ต้นตอของปัญหาด้วย การขจัดภัยคุกคามหลัก ซึ่งทำให้คิดได้ว่าการขจัดภัยคุกคามหลักคือการฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ให้สิ้นซาก ภายในสิ้นปี 2552 ถ้าไม่ได้ต้องแล้วเสร็จภายในเมษายน 2553 ตามที่มีการรระบุในตารางตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียม มาตรการป้องปรามและตอบโต้การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งตนจะนำมาเปิดเผยภายในสัปดาห์หน้า
นายจตุ พร กล่าวว่า ขณะที่ข้อ 3.1 ระบุถึงการพิจารณาใช้ประเทศหรือบุคคลที่ 3 ที่มีอิทธิพลหรือเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาในการช่วยคลี่คลายปัญหา จาก นั้นพบว่านายอภิสิทธิ์ ได้ส่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปประเทศเวียดนาม ซึ่งนายอภิสิทธิ์และนายกษิตคงเข้าใจว่าเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาได้ ช่วยหยุดยั้ง แต่เป็นการเข้าใจที่ผิดเพราะเวียดนามกำลังจะได้รับประโยชน์จากการกระทำของ รัฐบาลไทย
ปูดเอกสารลับเนื้อความเดียวสมัย คมช.
นอกจาก นั้น นายจตุพร ยังระบุว่า ในข้อ 3.3 ยังมีการระบุถึงมาตรการตอบโต้ขั้นเลวร้ายที่สุด หาก พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาร่วมกันกระทำการใดๆจนเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและ ทรัพย์สินประชาชนในวงกว้าง คุกคามอำนาจอธิปไตยไทยและสถาบันสำคัญ ซึ่งรวมถึงการดำเนินกิจกรรมเสมือนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในกัมพูชา ก็จำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องพิจารณาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและยกเลิกการ ติดต่อทุกด้าน รวมถึงการใช้มาตรการทางการทหารเพื่อปกป้องอธิปไตย จึงเท่ากับว่ารัฐบาลนี้ ดำเนินนโยบายทางการทูตที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรประเทศ เพื่อนบ้านและเตรียมประกาศสงครามใช่หรือไม่
อย่างไร ก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามซักถามรายละเอียดของตารางแผนปฏิบัติการที่อ้าง ว่า รุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ระบุถึงห้วงเวลาและวิธีการที่จะลงมือหรือไม่ ซึ่งนายจตุพรปฏิเสธที่จะพูดถึงรายละเอียด แต่นำเอกสารชุดหนึ่งที่อ้างว่าเป็นตารางที่แนบท้ายมากับเอกสารชุดที่นายกษิต ส่งถึงนายอภิสิทธิ์มาโชว์สื่อมวลชนเป็นเวลาสั้นๆ พร้อมระบุว่า เอกสารดังกล่าวเรียงลำดับแผนการดำเนินการที่สอดคล้องกับเอกสารชุดแรกที่ได้ เปิดเผยวันนี้ มีการวางแผนกำจัดพ.ต.ท.ทักษิณ ให้สิ้นซากภายในสิ้นปี 2552 ถ้าไม่ได้ก็ต้องภายในเดือนเมษายน 2553 โดยลักษณะคล้ายกับเอกสารลับคมช.ที่เคยนำออกมาแสดง แต่ตนจะรอให้นายกษิตออกมาตอบโต้เสียก่อน จากนั้นจึงจะเปิดเผย ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า
ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่าเอกสารดังกล่าวประกอบด้วย 4 ส่วนคือส่วนที่หนึ่งเป็นการวิเคราะห์ท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งในข้อ 1.3 มีเนื้อหาว่าสถานการณ์ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาจะยืดเยื้อหรือไม่ มิได้ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขภายในประเทศไทยเอง โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าสถานการณ์จะลงเอยอย่างไร ดังนั้นความเป็นเอกภาพของรัฐบาล ทุกส่วนราชการและทุกภาคส่วนของสังคมไทยเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดในการช่วยให้ ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลง ขณะที่ส่วนที่ 2 เป็นแนวทางการดำเนินการ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เป็นไปตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคาดหวัง ส่วนที่3 เป็นจุดหมายปลายทาง (end game) และส่วนที่ 4 เป็นข้อเสนอแนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น