"ทักษิณ" ทวิตเตอร์รายวัน โอดมุกเดิมถูกจ้องเอาชีวิต ขณะที่ "จตุพร" รับลูกโชว์เอกสารลับ "กษิต" ส่งถึงนายกฯ วางแผน "ตอบโต้ฮุน เซน-เอา ชีวิตทักษิณ-เร่งคดีค้างศาล-ประกาศสงครามเขมร" ด้าน "บัวแก้ว" เต้นสั่งสอบหาต้นตอเอกสารรั่ว ขู่เอาผิดจตุพรเผยเอกสารลับ ยันไม่มีเนื้อหาสั่งลอบสังหารทักษิณ ส่วน "ปชป." ปัดรัฐบาลไม่มีแผนตามฆ่าทักษิณ จวกฮุน เซน จุ้นการเมืองไทย แถมให้ที่พักนักโทษหนีคดี ขณะที่วางแผน "ตอบโต้ฮุน เซน-เอา ชีวิตทักษิณ-เร่งคดีค้างศาล-ประกาศสงครามเขมร" ด้าน "บัวแก้ว" เต้นสั่งสอบหาต้นตอเอกสารรั่ว ขู่เอาผิดจตุพรเผยเอกสารลับ ยันไม่มีเนื้อหาสั่งลอบสังหารทักษิณ ส่วน "ปชป." ปัดรัฐบาลไม่มีแผนตามฆ่าทักษิณ จวกฮุน เซน จุ้นการเมืองไทย แถมให้ที่พักนักโทษหนีคดี ขณะที่
"เสธ.แดง" พล่านบุกกลาโหมจี้บิ๊กป้อมพักงานบิ๊กป๊อกด้วย อ้างผิดฐานเดียวกัน ส่วนคดีเงินบริจาค ปชป. 258 ล้านยังวุ่น "อภิชาต" แย้มยกคำร้องหลังมติ กกต.ให้อำนาจชี้ขาด ด้าน "สดศรี" ชี้แค่ความเห็นเดียว ต้องชงเรื่องขอมติ กกต.อีกครั้ง ส่วน "เพื่อไทย" ขู่ยกคำร้อง เจอถอดถอนยกชุด แฉอภิชาตซี้บิ๊ก ปชป. ขณะที่ "เทพเทือก" ตกม้าตายเปิดปากยอมรับเอง อ้างผิดส่วนบุคคล
"ทักษิณ" ทวิตแหลโอดถูกจ้องเอาชีวิต
วันที่ 18 ธ.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ดอทคอม สนทนากับแฟนคลับที่อวยพรปีใหม่ให้ล่วงหน้าว่า "ขอบคุณมากครับที่อวยพรผมก่อนใครเลย เช่นกันครับปีใหม่ฟ้าใหม่ 2553 ขอให้มีความสุขมากๆ ขอให้เรื่องปัญญาอ่อนจนบ้านเมืองพังผ่านพ้นไปเร็ววัน เพิ่งกลับจากนั่งเฮลิคอปเตอร์ดูเมืองและการพัฒนากรุงพนมเปญกับท่านฮุน เซน มา เห็นชัดครับว่ามีการลงทุนเข้ามาพอสมควรใน 3 ปีที่ผ่านมา และมีน้ำเยอะมาก ขอบคุณมากๆ ครับช่วงนี้กำลังใจถือว่าเป็นยาชูกำลัง เรื่องราวไร้สาระมาก แต่เขาเอาจริงเอาจังถึงขั้นจะเอาชีวิตและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม"
"ตู่" ปูดเอกสารลับแผนขจัดทักษิณ
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวพร้อมนำสำเนาเอกสารมาแจกจ่ายสื่อมวลชน โดยอ้างว่าเป็นเอกสารที่ กต. 1303/2355 เรื่องแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ลงนามโดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ทำถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 พ.ย.2552 โดยระบุว่า จากกรณีที่รัฐบาลไทยดำเนินการนโยบายทางการทูต ซึ่งกระทบกระทั่งกับกัมพูชาหลายประเด็น มีการวางแผนอย่างเป็นรูปธรรมจนอาจนำไปสู่การประกาศสงครามระหว่าง 2 ประเทศ ตนไปพบเอกสารฉบับหนึ่ง โดยเอกสารนี้เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศคนหนึ่งส่งมาให้นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย จากนั้นได้ส่งมาให้ตนเป็นผู้แถลงอีกครั้ง เมื่อดูเอกสารลงวันที่ 16 พ.ย.52 เป็นหนังสือด่วนที่สุดและลับมาก มีการส่งเอกสารมา 2 ฉบับคือ 1.เอกสารแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 2.ตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรง เพื่อเตรียมมาตรการป้องปรามและตอบโต้การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่าง เป็นขั้นเป็นตอน ทั้งนี้แผนการทั้งหมดอยากให้นายกษิตออกมาตอบโต้ แต่ยืนยันตนมีรายละเอียดทั้งหมด เพียงแค่เอกสารนี้ก็มากพอ 1.มีความพยายามจะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมให้เร่งรัดคดี พ.ต.ท.ทักษิณ 2.ไปยุ่งเกี่ยวกิจกรรมภายในกัมพูชา 3. หมายเอาชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ 4.เตรียมประกาศสงคราม ขอร้องนายอภิสิทธิ์อย่าปรับนายกษิตออกจากครม. ขอให้อยู่อย่างนี้ เราเป็นประเทศเดียวนำผู้ต้องหาก่อการร้ายยึดสนามบินมาเป็น รมว.ต่างประเทศ และยังดำเนินนโยบายทางการทูตแบบเป็นปฏิปักษ์กับมิตรประเทศ
อ้างให้เร่งคดีทักษิณก่อนสิ้นปี 52
นายจตุพร กล่าวว่า สำหรับเอกสารแนวทางการดำเนินการนั้นมีการดำเนินการไปแล้วหลายส่วน อาทิ ข้อ 1.วิเคราะห์ท่าทีของฝ่ายกัมพูชาโดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภัยหลัก ข้อ 2.4 ระบุว่าจะมีการเร่งพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังค้างอยู่ ก่อนหน้านี้มีบิ๊กทหาร 'ป' 2 คน นายทหารนายพลอีก 1 คนบอกว่าจะเร่งคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เสร็จภายในวันที่ 6 ม.ค.53 นายกษิตที่เป็นฝ่ายบริหารทำเอกสารถึงนายอภิสิทธิ์ หัวหน้าฝ่ายบริหาร ระบุว่าจะต้องมีการเร่งพิจารณาคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารอีกฉบับที่ตนยังไม่อยากเปิดเผยคือพัฒนาการเป้าหมายและ แนวทางดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา ซึ่งมีการระบุชัดเจนว่าต้องทำให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 52 และจุดหมายปลายทางต้องคำนึงถึงว่าจุดประสงค์ของไทยคือการปรับความสัมพันธ์ สู่ปกติ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในกัมพูชานั้น แสดงว่านายกษิตและกระทรวงการต่างประเทศมีข้อมูลว่าจะมีการปฏิวัติในกัมพูชา โดยมีการสนับสนุนจากฝ่ายไทย เมื่อกระทรวงการต่างประเทศรู้ข่าวนี้จึงออกมาพูดว่าไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการ ปกครองในกัมพูชา แล้วนายกษิตไปยุ่งอะไรเกี่ยวกับกระบวนการภายในกัมพูชาจึงออกมาบอกว่าจะมีการ จัดความสัมพันธ์อย่างปกติ ถือเป็นการแทรกแซงการปกครองในกัมพูชาหรือไม่ เอกสารยังมีการระบุ (1) มุ่งที่ต้นตอของปัญหา ขจัดภัยคุกคามหลักนั้น หมายถึงว่าต้องมีการฆ่าให้สิ้นก่อนสิ้นปี 52 ถ้าไม่สำเร็จก็จะดำเนินการอีกใน เม.ย.53 ทั้งนี้ในเอกสารนี้ยังระบุถึงมาตรการตอบโต้ตั้งแต่ระดับกลางไปถึงเลวร้ายที่ สุด คือถ้ามีกิจกรรมเหมือนเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นต้องตัดความสัมพันธ์และตอบโต้ทาง ทหาร ซึ่งถือเป็นความรุนแรงเท่ากับรัฐบาลเตรียมประกาศทำสงคราม
"บัวแก้ว" เต้นเล็งเอาผิดจตุพร
ส่วนนายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า หนังสือดังกล่าวเป็นรายงานการวิเคราะห์พัฒนาการและแนวโน้มความสัมพันธ์กับ กัมพูชา ซึ่งเป็นเอกสารชั้นความลับ ซึ่งกระทรวงไม่สามารถให้รายละเอียดของหนังสือดังกล่าวได้ แต่ทราบว่าได้มีการเผยแพร่ไปยังหน่วยงานราชการด้านความมั่นคงเพื่อเป็นแนว ทางการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้เอกสารดังกล่าวเป็นชั้นความลับ และมีความละเอียดอ่อน จึงไม่อยากให้มีการเผยแพร่ต่อ ทั้งนี้ผู้นำเอกสารออกเผยแพร่จะมีโทษตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540 และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ พ.ศ.2544 กำกับอยู่ ซึ่งต้องพิจารณาว่าการดำเนินการนั้น มีความผิดทางอาญาและขัดต่อ พ.ร.บ.และระเบียบดังกล่าวหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่าสิ่งที่นายจตุพรเผยแพร่ต่อสาธารณชนนั้นเป็นไปในลักษณะใด และต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อัยการสูงสุด ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ในส่วนการดำเนินการของกระทรวง ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ ทางกระทรวงจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน ประกอบด้วย ข้าราชการระดับบริหารของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรต้องรอฟังจากคณะกรรมการดังกล่าวเสียก่อน ส่วนที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยข้อมูลโทรศัพท์ของนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขาเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ว่ามีการโทรศัพท์ถึงนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ จริงนั้น ไม่มีข้อมูลในส่วนนั้น เพราะเป็นข้อมูลที่กัมพูชาหามาได้ ตนคิดว่าเป็นรายการหมายเลขโทรศัพท์เข้าออก คล้ายกับใบเสร็จเรียกเก็บเงินของบริษัทมือถือค่ายต่างๆ ทั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่าเอกสารดังกล่าวไม่ได้บ่งบอกอะไร ยืนยันว่า นาย กษิตไม่ได้โทรศัพท์สั่งการให้ดำเนินการใดๆ ซึ่งสิ่งที่นายคำรบทำนั้น ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูล แต่หลังจากที่นายคำรบถูกกำหนดให้เป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาของกัมพูชาแล้ว นายกษิตอยู่ที่สิงคโปร์และได้โทรศัพท์ไปให้กำลังใจนายคำรบ
ขู่ปูดเอกสารปลอมเจอดีแน่
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วย รมว.การต่างประเทศ เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเปิดเผยเอกสารฉบับจริงตามที่กล่าวอ้างว่าเป็น เอกสารฉบับจริงตามแบบฟอร์มเอกสารทางราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ส่งไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) หรือไม่ แต่หากเป็นเอกสารปลอมทางผู้ออกมาเปิดเผยต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หากเอกสารดังกล่าวเป็นฉบับจริง กระทรวงจะดำเนินการตรวจสอบภายในถึงต้นตอว่าใครเป็นผู้ปล่อยเอกสารดังกล่าว ออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศ หรือ สลน. เพราะโดยเบื้องต้น รมว.การต่างประเทศ จะส่งรายงานการทำงานกับนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจึงถือว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารลับทางราชการผู้ใดนำออกไปเปิดเผยย่อมมีความผิด ทั้งนี้แม้ว่าเอกสารตามที่พรรคเพื่อไทยกล่าวอ้างจะเป็นเอกสารจริงก็ตามที แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะโดยอำนาจหน้าที่ในการทำงานทาง รมว.การต่างประเทศ ย่อมต้องทำรายงานเสนอผู้บังคับบัญชา คือ นายกฯ รับทราบเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่กังวล
"สุเทพ" อ้างไม่เอกสารลับ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เคยเห็นเอกสารดังกล่าว ตามที่นายจตุพรกล่าวอ้าง ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือของเท็จ แต่คิดว่าเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือ เรามีปัญหาสำคัญในบ้านเมืองที่ต้องรีบแก้ไขมากกว่าไปสนใจเรื่องนี้ ส่วนที่ระบุว่าเอกสารดังกล่าวมีการลงนามโดยนายกษิตนั้น คงต้องไปถามนายกษิตเอง ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีการวางแผนเป็นขั้นตอนในการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่คิดว่ามี เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่ในกัมพูชาถึงวันที่ 21 ธ.ค.นี้ จะให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดี ในเมืองไทยหรือไม่ นาย สุเทพ ตอบว่า ก็เคยทำไปแล้ว แต่กัมพูชาไม่ให้ เมื่อถามว่า แสดงว่ารัฐบาลถอดใจในการทำหนังสือขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับเมืองไทย นายสุเทพ ตอบว่า ไม่ทราบ กระทรวงการต่างประเทศคงหาวิธีการของเขา
ปชป.ปัดรัฐบาลมีแผนไล่สังหารแม้ว
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวหาทางการไทยว่าได้มีการสั่งให้เครื่องบินขับไล่ F-16 บินประกบเครื่องบิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขับไล่ออกจากน่านฟ้าหรือบังคับให้ลงจอดเพื่อจับกุมตัวนั้น เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีแผนการที่จะทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งภายในไทยและต่างประเทศ รวมถึงการที่ออกมาระบุว่าไทยส่งกองกำลังรุกล้ำพื้นที่ของกัมพูชา ยืนยันว่าไม่มีเรื่องดังกล่าวแน่นอน ตรงกันข้ามที่รัฐบาลนี้พยายามประนีประนอมและเร่งแก้ไขปัญหาพื้นที่แนวชายแดน ให้ถูกต้อง ทั้งนี้มองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา กำลังคลี่คลายลงหลังจากที่รัฐบาลกัมพูชาได้มีการปล่อยตัวนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย แต่มี 3 เรื่องที่จะทำให้สถานการณ์กลับมาน่าเป็นห่วงอีกครั้ง คือ 1.การดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งพรรคเป็นห่วงว่า การดักฟังสาระของการสนทนาในสถานทูตไทยประจำกัมพูชา เป็นการกระทำผิดสนธิสัญญากรุงเวียนนา ปี 2504 2.การให้ที่พักพิงต่อผู้กระทำผิด เพราะนอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ยังมีการให้ที่พักพิงนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. และอดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ 3.การที่สมเด็จฮุน เซน ยังให้สัมภาษณ์แทรกแซงการเมืองในไทย รวมถึงการวิจารณ์รัฐบาลไทย ซึ่งพรรควิตกคำพูดของสมเด็จฮุน เซน บางส่วนที่อาจเป็นการประสานกับกลุ่มเสื้อแดงบางกลุ่ม เช่น ข้อมูลตารางการบิน ที่พรรคประเมินจากเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้กัมพูชาเป็นฐานที่ตั้งในการล้มรัฐบาลไทยต่อเนื่องในอนาคตต่อไป
จวกพวกขายชาติคาบข่าวบอกเขมร
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ค่อนข้างชัดเจนในคำสัมภาษณ์ ที่บอกว่า หากไม่สกัดทันเวลา พ.ต.ท.ทักษิณคงเสียชีวิตหรือเข้าเรือนจำไปแล้ว เพราะเขาทำแผนที่เส้นทางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณถือว่าจะต้องเป็นโศกนาฏกรรม ที่กัมพูชาที่จะรับเคราะห์ไปด้วยนั้น ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเคยนำมาอภิปรายในสภา และตั้งกระทู้ถามรัฐบาลมาแล้ว ทั้งเรื่องเส้นทางบินหรือการปกป้องน่านฟ้าไทยของกองทัพอากาศ ดังนั้นเชื่อได้ว่าข้อมูลที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวหาประเทศไทยเป็นเพราะข้อมูลจากคนไทยกันเองที่คาบข่าวไปบอกคนต่างชาติ เพื่อให้มาทำลายชาติไทย อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า นายกรัฐมนตรีคงจะไม่ตอบโต้ท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ที่ออกมาในลักษณะเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้ขยายความออกไป จนกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่นับวันจะห่างออกไป แต่ตนก็ไม่คาดคิดว่าสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นผู้ที่มีอาวุโสทางการเมืองเป็นผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดใน เอเชีย จะมีท่าทีต่อประเทศเพื่อนบ้านเช่นนี้ ถ้าเทียบกับความอาวุโสทางการเมืองกับนายอภิสิทธิ์ต่างกันมาก แต่สังคมคงจะพิจารณาได้ว่าวุฒิภาวะของผู้นำทั้งสองประเทศเป็นอย่างไร ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้โพสต์ข้อความทวิตเตอร์ระบุว่า ยังอยู่ที่กัมพูชา และคิดถึงประเทศไทยอยากกลับประเทศไทย แต่ว่ารัฐบาลไม่เวลคัม (Welcome) นั้น วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่กัมพูชาจริงๆ และมีความเข้าใจผิดว่ารัฐบาลไทยไม่ต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณต้องเข้าใจใหม่ว่า ตัวเองคือบุคคลที่รัฐบาลไทยต้องการตัวมากที่สุดเพื่อมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าใจว่าใครไม่เวลคัมตัวเองก็ตาม แต่ตนยืนยันกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า คนที่เวลคัม พ.ต.ท.ทักษิณตลอดเวลาคือคุกเวลคัม
"เสธ.แดง" จี้ประวิตรพักราชการบิ๊กป๊อก
วันเดียวกัน ที่องค์การทหารผ่านศึก พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีที่ถูกกองทัพบกตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย และเรียกร้องให้มีการสอบสวน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่มีความผิดกรณีที่ไปข่มขู่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง และขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะไม่ปฏิบัติตามการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมี พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการ รมว.กลาโหม เป็นผู้รับหนังสือแทน ทั้งนี้ พล.ต.ขัตติยะ เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร จะพิจารณาในเรื่องนี้ เพราะท่านเป็นคนที่ยุติธรรม และขณะนี้เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เข้าใจตนผิด ส่วนปลัดกระทรวงกลาโหมเข้าใจผิดเพราะไปฟังการเสี้ยมของเอเอสทีวี แต่ตอนนี้น่าจะเข้าใจถูกแล้ว แต่ ผบ.ทบ.เข้าใจผิดเต็มๆ และเรื่องที่กำลังทำเพื่อพักราชการตนนั้นเป็นเรื่องเก่าที่เอาขึ้นมาปัดฝุ่น ส่วนเรื่องใหม่ที่ตนไปกัมพูชากับเรื่องทหารพรานนั้น ยังไม่ได้สอบสวน ถ้าไม่อคติคงทำตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่นี่เรื่องเลยมา 12 เดือนแล้ว เพิ่งจะมาทำเรื่องขอพักราชการ ทั้งนี้หากมีการสั่งพักราชการต้องพักพร้อมกันทั้งคู่ ทั้งตนและ พล.อ.อนุพงษ์ เพื่อจะได้ให้เกิดความเสมอภาค ตอนนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ความจำเสื่อม พอใหญ่แล้วลืมตัวจึงจำตนไม่ได้ ส่วนการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงหลังปีใหม่ จะแตกหักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแกนนำ 3 เกลอว่าจะถอดใจหรือไม่ หากไม่ถอดใจจะรบชนะ เพราะแนวร่วมเขาสู้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับแกนนำ และทหารพรานจะแต่งชุดออกมาเหมือนเดิม เพราะไม่ได้เป็นเครื่องแบบที่อยู่ในระเบียบกองทัพ แต่ทหารหลักคนไหนจะเสี่ยงไปถอดชุดก็ตัวใครตัวมัน ซึ่งตนอยากห้ามว่า ทหารอย่าออกมารบกัน ปล่อยให้การเมืองแก้การเมือง ส่วนเหตุระเบิดปีนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น หากจะมีอาจทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านเจ๊งทั้งคู่ ยัน "ประวิตร" ให้ความเป็นธรรม
ด้าน พล.อ.นพดล กล่าวว่า ตนจะนำเอกสารของ พล.ต.ขัตติยะ นำเรียนให้ รมว.กลาโหมได้รับทราบ ซึ่งเรื่องการสอบสวน พล.ต.ขัตติยะนั้น เชื่อว่า รมว.กลาโหมจะให้ความยุติธรรมปฏิบัติตาม ขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่ง รมว.กลาโหม ไม่ได้หนักใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรมพระธรรมนูญว่าจะตัดสินอย่างไร ซึ่งหากเสนอมาอย่างไร ท่านคงจะว่าไปตามนั้น อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของกรมพระธรรมนูญ คาดว่าน่าจะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง แต่เราไม่ได้เร่งรัดอะไร เพราะไม่ได้มีการกำหนดเวลา แต่เชื่อว่าคงใช้เวลาไม่นาน
ปธ.กกต.แย้มยกคำร้องคดี 258 ล้าน
ส่วนกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ กกต.เสียงข้างมากมีมติให้เป็น ดุลพินิจของนายทะเบียนพรรคการเมือง ว่าจะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวว่า ไม่หนักใจ และไม่รู้สึกกดดันที่ถูกให้ตัดสินใจในฐานะนายทะเบียน ยอมรับมีความเห็นตามเสียงส่วนใหญ่ของคณะอนุกรรมการไต่สวน ที่ให้ยกคำร้องคดีดังกล่าว และเห็นว่าไม่ควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ทั้งนี้ยืนยันไม่ได้เป็นการช่วยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ได้ดูในรายละเอียดอย่างรอบคอบ และตรงไปตรงมา การที่มี กกต.คนหนึ่งลงมติว่าสมควรส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณา ยุบพรรคก็เท่ากับว่า กกต.คนนั้นไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างมากของอนุกรรมการไต่สวน ทำให้ตอนนี้มีตนเพียงคนเดียวที่เห็นตามอนุฯ เสียงข้างมากที่ให้ยก คำร้อง ส่วน กกต.อีก 3 คน มีความเห็นให้ตนเป็นผู้ตัดสินใจอีกครั้ง ทั้งนี้หากนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นควรว่าเรื่องนี้ต้องส่งให้ศาลรัฐ ธรรมนูญ ก็จะต้องส่งเรื่องกลับเข้าสู่ที่ประชุม กกต.อีกครั้ง เพื่อขอความเห็นชอบ แต่ถ้านายทะเบียนฯ เห็นควรยกคำร้องตามเสียงข้างมากของอนุฯ ก็ไม่ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม กกต. "สดศรี" ยันต้องขอมติ กกต.อีกครั้ง
ขณะที่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. เห็นว่าการที่ประธาน กกต.มีความเห็นยกคำร้องถือเป็นความเห็นเดียว และการเห็นว่าไม่ควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญก็ควรทำความเห็นส่งกลับไปขอ ความเห็นจากมติ กกต.ก่อน ยืนยันที่ให้ประธานกลับไปทำความเห็นมา เพราะเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติพรรคการเมืองไม่ได้ยื้อเวลา หรือโยนเผือกร้อนให้ประธาน กกต.
"เทือก" ไม่หวั่น ปชป.ถูกยุบ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวว่า ที่ กกต.โยนให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ส่วนตัวคิดว่ากรณีนี้ไม่น่ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพรรค เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล
ปชป.ยันไม่เคยรับเงินบริจาคทีพีไอ
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า เป็นกระบวนการที่ กกต.ปฏิบัติตามกฎหมาย และพรรคยังคงยืนยันที่จะสนับสนุนเกี่ยวกับการให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมามีการเปิดเผยถึงแหล่งที่มาของรายได้มาโดยตลอด ไม่ว่าเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้จากกองทุนพรรคเมือง หรือเงินบริจาคที่ได้จากการระดมทุนครั้งต่างๆ ซึ่งยืนยันได้ว่า เงินบริจาคของพรรคไม่มีตัวเลข 258 ล้านบาท ที่ได้จากบริษัททีพีไออย่างแน่นอน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคเห็นว่าการมีมติดังกล่าวของ กกต.น่าจะเป็นการขัดต่อกฎหมาย เนื่องจากเป็นองค์กรกลุ่ม ในการวินิจฉัยเรื่องใดๆ ต้องทำในรูปของคณะกรรมการ แม้ตามกฎหมายประธาน กกต.จะมีฐานะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง และเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของ กกต.แล้ว จะเห็นว่าตามมาตรา 10 (10) ให้อำนาจ กกต.ในการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหา หรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย และตามมาตรา 95 ของกฎหมายพรรคการเมือง การจะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค การเมืองหรือไม่นั้น กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า "ให้นายทะเบียน โดยความเห็นชอบของ กกต. แจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน" ก็แสดงว่า ในการพิจารณาว่าจะส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดหรือไม่นั้น กกต.จะต้องมีมติเท่านั้น จะให้เป็นความรับผิดชอบหรือเป็นดุลพินิจของประธาน กกต.เพียงคนเดียวไม่ได้ ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน การที่ กกต.เสียงข้างมากมีมติให้นายอภิชาติเป็นผู้ตัดสินใจโดยลำพัง จึงเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และที่นายอภิชาติได้ออกมาระบุว่า ยืนตามมติของอนุกรรมการไต่สวนให้ยกคำร้องนั้น ก็เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการจะยกคำร้องหรือส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดหรือไม่นั้นต้องพิจารณา และมีมติในรูปของคณะกรรมการเท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า นายอภิชาตมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนมาด้วยกัน แสดงถึงความไม่เป็นกลางของนายอภิชาตที่จะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเพียงลำพัง ดังนั้นหาก กกต.ยังคงดำเนินการไปตามความเห็นของนายอภิชาต คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการโดยขอให้ ส.ส.เข้าชื่อถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับ กกต. อัดมติอัปยศหวังช่วย ปชป.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มติของ กกต. กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีมติให้ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียน เป็นผู้ชี้ขาดนั้น เป็นมติอัปยศที่ กกต.ช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ แบบไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไรแล้ว ทั้งนี้ส่วนตัวอยากให้ กกต.มีมติไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปเลยดีกว่า ซึ่งตนจะได้ดำเนินการกับ กกต.ทันทีไม่ต้องเสียเวลา
อ้างหลักฐาน DSI ปึ้กต้องยุบ ปชป.เท่านั้น
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ได้ข่าวว่า กกต.มีมติเสียงข้างมากให้ประธาน กกต.ดูเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อเสนอว่าควรจะยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือ ไม่ ฟังแล้วแปลกดี ไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร มองในแง่ดีก็อาจหมายถึงให้ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองทำหน้าที่เสียก่อน ซึ่งก็เหมือนโยนเผือกร้อนให้ประธาน กกต.ไปเต็มๆ แรงกดดันจะอยู่ที่ประธาน กกต.ไปจนกว่ามีข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ซึ่งคราวนี้คงถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สุดท้าย กกต.ทั้งคณะก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ และทางที่ดีไม่ควรทำให้ภาพพจน์ของ กกต.เองย่อยยับไปกว่านี้อีกแล้ว มีพรรคการเมืองหลายพรรคถูกยุบไปเพราะ กกต.เชื่อใครก็ไม่รู้ว่ามีคนเพียงคนเดียวทำผิด กม. ในกรณีของบางพรรค ต่อมาศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องผู้ที่ได้รับใบแดงคนนั้น แต่พรรคของเขาก็ถูกยุบไปแล้ว นี่คือผลงานของ กกต. ทั้งนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวนเขาสรุปว่า ผิดล้านเปอร์เซ็นต์ ทาง DSI เขามีหลักฐานเป็นตั้งๆ กกต.กลับไม่เชื่อสักที แถมยังถ่วงเวลามาเรื่อย ถ้าขั้นนี้ช่วยกันอีกก็จะยิ่งตอกย้ำความอยุติธรรมหนักยิ่งขึ้น ต้องช่วยกันชี้ให้เห็นความไม่เป็นกลางของ กกต. และความไม่เป็นประชาธิปไตยของบ้านเมืองนี้ ให้ กกต.จำต้องฝืนใจตัวเองและผู้มีอำนาจ คือถ้าทำตามกฎหมายก็ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์และถอนสิทธิ์ 5 ปี ซึ่งขัดหลักนิติธรรม หากพรรคประชาธิปัตย์หลุดพ้นไป ก็สะท้อนความไม่เป็นธรรมของระบบที่เป็นอยู่