วันพฤหัสบดีที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓

‘เพลี้ยกระโดด’ กับรัฐบาล ‘เพลี้ยกะแดก’

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

มื่อสัปดาห์ที่ ผ่านมา มีข่าวฮือฮาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ดูท่าจะเป็นข่าวใหญ่ทีเดียว เพราะหนังสือพิมพ์ระดับ “มติชน” พาดหัวออนไลน์ เมื่อ วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553 ว่า
“ฮิวแมนไรท์วอทช์ซัด"อภิสิทธิ์"ละเมิดสิทธิมนุษยชน รุนแรง จนสถานการณ์ถดถอยอย่างหนักในปี 52”
นายแบรด อดัม (Brad Adam) ผู้อำนวยการองค์การสิทธิมนุษยชนเอเชีย (Asia director at Human Rights Watch) ผู้แถลงเกี่ยวกับสถานการณ์เกี่ยวกับเมืองไทย ถึงกับระบุว่า
“รัฐบาล ของอภิสิทธิ์ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก แทบไม่ได้ทำตามคำสัญญาเคยกล่าวไว้ว่า จะให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และหลักกฎหมายระหว่างประเทศเลย”
สำหรับรายละเอียดในเรื่องนี้ หากท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง คงจะได้เห็นกันแล้ว และคงเป็นไปตามคาดคิดนายอภิสิทธิ์ ต้องออกมาตอบโต้ว่าไม่จริง และจะให้ทางกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แถลงตอบโต้อย่างเป็นทางการ
แต่...ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ผมอยากจะบอกว่า องค์การขนาดนี้ Human Rights Watch นั้น ก่อนที่จะกล่าวหาใคร เขาต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานไว้พอสมควร เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว และผ่านการตรวจสอบอย่างดี จึงออกรายงานเป็นทางการ เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องบอกกล่าวกับชาวโลกทั้งมวล
อยากจะยกตัวอย่าง ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นกันสักนิด
สำหรับนายแบรด อดัม ผู้อำนวยการองค์การสิทธิมนุษยชนเอเชีย ผู้นี้ เคยตรวจพบว่า

เจ้าหน้าที่ทหาร ใน ‘ศูนย์วิวัฒน์สันติ’ ซึ่งทำหน้าที่แบบเดียวกับ “ศูนย์ซักถาม” ของ กอ.รมน.ในอดีต ได้มีการนำตัวชาวบ้านมารีดเอาข่าว แล้วซ้อมอย่างโหดร้ายด้วยความทารุณผิดมนุษย์ ได้กระจายไปถึงหูขององค์การระหว่างประเทศนี้ จนทำให้เรื่องแดงและแตกออกมาพร้อมพยานหลักฐานชัดเจน ทำให้คนไทยได้รับรู้กัน
สื่อในประเทศอย่างหนังสือพิมพ์ ‘โพสต์ทูเดย์’ ถึงกับให้กับฉายาทหารหน่วยนี้ว่า
‘หน่วยทมิฬ’
ส่วนชาวบ้าน ข้าราชการ และคนไทยมุสลิมและตำรวจในพื้นที่ รับรู้เรื่องนี้มาเป็นระยะเวลาพอสมควร และเรียกศูนย์แห่งนี้อย่างตรงไปตรงมา ‘ศูนย์ กระทืบสันติ’ ซึ่งเข้าท่าดีจัง เพราะไม่ใช่แต่ชำนาญในการรุมกระทืบชาวบ้าน จนขี้แตกขี้แตนเท่านั้น ยังช่วยกันรุมกระทืบ ความสงบสุขและสันติ จังหวัดชายแดนปักษ์ใต้
ให้พัง...คาตีนไปอีกด้วย!
จึงไม่แปลกเลย ถ้าญาติพี่น้องผู้ที่ถูกกระทำ ลุกมาไล่ฆ่าทหาร ล้างแค้นเอาคืนกันบ้าง!
พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 (ในขณะนั้น) ทน
ต้องสั่งยุบศูนย์ ‘ศูนย์วิวัฒน์สันติ’ เพราะจำนนต่อหลักฐาน (ภารกิจยังมีอยู่ ต้องแอบไปดำเนินการในชื่ออื่น)
เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยนายพล สุรยุทธ์ ณ.เขายายเที่ยง ดำรงตำแหน่งนายกประเทศนี้ โดยมี “ไอ้ บังกบฏ” ซึ่งกำลังคับแข้งคับขา เพราะถ่างขาคร่อม ทั้งตำแหน่งผู้นำ ค.ม.ช. แถมยังเป็น ผบ.ทบ.ในห้วงเวลานั้น ด้วยซ้ำไป
แม้ในหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนทั้งหลายของบ้านเราเรื่องนี้จะเลือนหายไป แต่ในฐานะคนตามข่าวอย่างผม รับรองว่ามีหลักฐานชัดเจน อีกทั้งข้อมูลต่างๆทางปักษ์ใต้ ยังหลั่งไหลเข้ามาหาผมอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากมีการออกมาโต้แย้ง ผมอาจสวนกลับแรงๆแบบไม่ไว้หน้าก็เป็นได้ เลยต้องขอเตือนกันไว้ก่อน

ารออกมาปฏิเสธไว้ก่อนนั้น ผมเห็นว่าเป็นสันดานดักของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือพัฒนาให้ดีขึ้น ยังยึดแนวทาง “ปฏิเสธเอาไว้ก่อน” อย่างมั่นคงว่า พรรคของตัวเองนั้น ดีเลิศประเสริฐศรีมณีเด้ง เรื่องความผิดต่างๆนั้น
“พรรคฉัน...ไม่ได้ทำ!”
การปฏิเสธเอาไว้ก่อน ก็ถูกจับได้ทีหลังนั้น บางเรื่องมันก็กินเวลาช้านาน สำหรับการำพิสูจน์ จนผู้คนลืมไปแล้วก็มี อย่างเรื่องที่ผมเคยบอกเอาไว้แล้ว เช่น
เรื่องการทุจริตเชิงนโยบาย และเป็นชนักปักหลังพรรคดักดานอยู่ทุกวันนี้ ก็เรื่องเอาที่ดิน ส.ป.ก.ไปแจกให้ญาติโก
โหติกาของคนในพรรค เพลิดเพลินเจริญใจกันไป จนเรื่องถึงโรงถึงศาล ซึ่งต้องใช้เวลาถึงกว่า 10 ปี ที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งให้บรรดาเศรษฐีสหายและญาติของนักการเมืองพรรคนี้ ต้องคืนที่ดินซึ่งได้รับแจกจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีราคาสูงกว่าหมื่นล้าน ให้กับทางราชการไปด้วยความจำใจ
เห็นกันหรือยังล่ะ!?
อีกเรื่องที่กินเวลานาน คือการทุจริตในการเลือกตั้ง สมาชิกพรรคคนสำคัญ ถูกศาลฎีกาท่านสั่งจำคุกไป 1 ปี ฐานซื้อเสียง และสร้างประวัติศาสตร์อันน่ารังเกียจว่า เป็นพรรคการเมืองพรรคแรกของประเทศ ที่สมาชิกพรรคถูกลงโทษในความผิดฐานซื้อเสียง!
ก่อนหน้านั้นอีตาชวน เชื่องช้า แกออกมาพร่ำด่าคนโน้นคนนี้พรรคโน่นพรรคนี่ซื้อเสียง พอลูกพรรคตัวเองโดนศาลฎีกาท่านตัดสินจำคุก และตัดสิทธิทางการเมืองอีก 10 ปีเหมือนกัน
นาย หัวเลยหยุดพูดเรื่องซื้อเสียง นับตั่งแต่บัดนั้น! ...555

การที่พรรคดักดานโดยหัวหน้าอย่าง นายอภิแสบ
ภักดีโพเดียมนั้น ไปพูดอะไรที่ไหน ก็ย่อมเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้สนับสนุนและผู้ที่คัดค้านทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา
ดังนั้น ผมเห็นว่าการที่แกจะไปพูดอะไรแล้ว ไม่โดนสวนหรือตอกหน้ากลับนั้น เป็นเรื่องที่ควรกระทำ แต่บางเรื่องหัวหน้าพรรคดักดานพูดไปแล้ว ผู้คนต้องเลิกคิ้วอย่างฉงนฉงาย ด้วยความงงงวย เช่นเรื่องความซื่อสัตย์เป็นต้น
หรือครับ
ตอบได้ว่า ก็เพราะการที่นายอภิแสบฯ พูดจายกตัวเองและพรรคพวกว่าซื่อสัตย์นั้น ผู้คนที่เขาไม่เชื่อนั้นมีอยู่มาก (รวมทั้งผมด้วย) ครม.ของนายอภิแสบ ก็ไม่ได้ยึดมั่นในความสุจริตอย่างที่ว่า เพราะความไม่กระจ่างใส ในการบริหารประเทศนี่แหละครับ
ที่เป็นเหตุต้องนำมาพูดถึงกันในวันนี้ คือ เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมิสเตอร์ อภิแสบ ภักดีโพเดียม แกดันไปพูดในรายการที่ผมเปลี่ยนชื่อให้ว่า

“ไม่มีใครเชื่อมั่น ประเทศไทย กับนายอภิแสบ!”

ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จนสื่อเขาเอามาพาดหัวว่า

“ครม.ยึดพระราชดำรัส ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต”

ตรงนี้แหละครับ ที่ผมว่าแกพูดไม่จริง!

รัฐบาลนายอภิแสบ ไม่ได้ทำงานด้วยความสุจริต อย่างที่เจ้าตัวออกมาอวดอ้าง และด้วยความไม่สุจริตนี่แหละครับ เป็นเหตุให้รัฐมนตรีสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ต้องลาออกไปถึงสองคน รัฐมนตรีช่วยต่างพรรคอีกหนึ่งหน่อ แล้วมันจะไปจริงได้อย่างไร?
อู้กันซื่อๆ...อย่างนี้แหละครับ!

ผมชื่นชมการดำเนินการ ของข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ที่ร่วมมือร่วมใจกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ ในโครงการไทยเข้มแข็ง ไม่ให้กลายเป็นโครงการ
“ไทยคุดคู้!”
ข้าราชการเหล่านั้น พวกเขาได้รักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยช่วยกันกดดันนายวิทยา แก้วภารไดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคุณหมอ ซึ่งมาจากพรรคดักดานของนายอภิแสบ จนกระทั่งจำใจให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนจากบุคคลภายนอก ซึ่งชี้ความไม่สุจริต ของการดำเนินการของเจ้ากระทรวงและทีมงานของรัฐมนตรี จนยกแก๊งลาออกไปทั้งโขยง
ในที่สุดนายวิทยาฯแทบจะหลั่งน้ำตา ยอมจำนนจำใจลาออกจากตำแหน่งซึ่งนั่งได้ไม่ถึงปี กลับไปนั่งบนโถส้วมด้วยความรวดร้าว อึดอัดคัดข้อง คงอยากจะเปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘แก้วพรรดึก’ ให้รู้แล้วรู้แร่ดไป...555
ท่านผู้อ่านเห็นไหมครับว่า หากมี คนภายนอกเข้าไปสอบสวนหาความผิดกันจริงจังอย่างนี้ มันก็เห็นผลว่าเป็นหมู่เป็นจ่ากันอย่างที่เห็นๆได้ไม่ยาก
แต่ท่านครับ...ที่คาใจผมมากๆก็คือ...
คดีทุจริตโครงการชุมชน(แดก)ไม่พอเพียง นี่แหละครับ ผมเขียนเอาไว้ในบทความชื่อเศรษฐกิจ “เชิงทุจริต” ของประชาธิปัตย์!!! ลงใน www.vattavan.com ตั้งแต่ 27 กันยายน 2552 ความตอนหนึ่งว่า

...โครงการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปล้นอำนาจเข้ามาบริหารประเทศ ต้องจำไว้เป็นตัวอย่าง เพราะเวลานี้ชื่อเสียงของพวกท่านนั้นเสียหายมาก โดยเฉพาะโครงการที่ผมเรียกว่า “โครงการ แดกไม่พอเพียง” นั้น นับวันแต่จะถกเปิดโปงความชั่วร้ายออกมา ตั้งแต่ เครื่องกรองน้ำ รถไถกระป๋องทาสี ปุ๋ยปลอม ฯลฯ จนพิจารณาเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะบอกว่า
คนในพรรคดักดานนี้ ได้ประกอบกรรมอันไม่สุจริต ด้วยการโกงอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่มีการจัดหาสินค้า ตั้งทีมไปหลอกลวงเกี่ยวกับโครงการ และมีการกระจายสินค้าซึ่งไร้คุณภาพ ไปยังพี่น้องประชาชน เป็นการรวมกันเขมือบ โกงงบประมาณกันอย่างหน้าเฉยตาเฉย แต่สื่อมวลชนถลกเบื้องหลัง ว่าพรรคดักดานได้ประโยชน์ ด้วยการที่ได้รับเงินบริจาคก้อนโต จากบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้
เจ็บใจแทน...พี่น้องประชาชนจริงๆ! ...

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ...
เรื่องโครงการชุมชนพอเพียงนั้น พอมีเรื่องแตกขึ้นมา การสอบสวนไม่ได้กระทำโดยบุคคลภายนอก แต่กลับตั้งตาเฒ่าอย่างนายเจริญ คันธวงศ์ ขึ้นมาสอบสวนแบบง่อกๆแง่กๆ แล้วรวบรัดด่วนสรุป ทำทีเป็นลงโทษสมาชิกพรรคบางคน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่นักการเมืองตนอื่นๆของพรรค บริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วก็ยุติเรื่องไปเฉยๆอย่างนี้ มันทำเหมือนกับพี่น้องประชาชนคนไทยเรา...
รับประทานแกลบ แทนข้าววันละสามมื้ออย่างนั้น!
หากนายอภิแสบฯอยากแสดงว่าตัว มีความจริงใจ ก็ต้องตั้งกรรมการบุคคลภายนอกพรรค มาทำการสอบสวนเป็นเรื่องเป็นราว เพราะจะได้สอบสาวให้ลึกๆกันไปว่า
ไอ้ที่ผู้คนเขาบอกว่า บริษัทต่างๆที่ได้รับประโยชน์จากโครงการแดกไม่เคยพอเพียง และจ่ายเงินบำรุงพรรคดักดานไปก่อนนั้น
เป็นความจริงใช่ไหม...จำนวนเงินเท่า ไหร่? เมื่อใด?
สำหรับนายอภิแสบฯ ที่ลงลายมือชื่อรับรองงบหรือรายงานการเงินของพรรค ที่ส่งให้ กกต.นั้น จะไม่รู้เห็นกับการบริจาคเงินนั้น หรือไม่อย่างไร?
แน่จริงเอาหลักฐาน...ออกมาตีแผ่กันให้จะๆกัน (ซีวะ)!?
เรื่องอย่างนี้แหละครับ ที่ผมว่ามัน “คาใจ” พี่น้องประชาชนคนไทย เพราะพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งมีจำนวนมากในประเทศ เขาปักใจเชื่อว่า
“รัฐบาลทุจริต!”...เขาเชื่อกัน อย่างนี้จริงๆนะครับ!!

ดังนั้น การนายมาร์คฯหัวหน้ารัฐบาลดักดาน ดันทะลึ่งออกะออกมายืนยันหน้าเฉยตาเฉย ว่ารัฐบาลของตัวนั้นซื่อสัตย์สุจริต ผมก็จะขอนั่งยัน กลับไปบ้างว่า...
ประชาชนคนไทยจำนวนมาก รวมทั้งผมด้วย เห็นว่านายมาร์คฯจะมาพูดเอาดีใส่ตัวอย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวคนเขาจะหาว่าออก “มุกควาย” ซ้ำอีกแล้ว อย่างที่ผมเคยตั้งข้อสังเกต และให้ฉายาไว้เป็นแรมปี จนผู้คนชักจะพูดกันติดปากว่า
“นายมาร์ค มุกควาย”
ก็เพราะแกชอบออก “มุกควายๆ” อย่างนี้แหละครับ!!!
ก่อนจบบทความที่เขียนไปหัวเราะไป อยากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า

เวลานี้มีหลายอำเภอที่เคราะห์ร้าย เพราะเมื่อข้าวราคาดี เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เป็นแมลงจำพวกปากดูด ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยทำลายข้าว โดยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากเซลส์ท่อน้ำท่ออาหารบริเวณโคนต้นข้าวระดับเหนือผิว น้ำ ทำให้ต้นข้าวมีอาการใบเหลืองแห้งลักษณะคล้ายถูกน้ำร้อนลวก แห้งตายเป็นหย่อมๆเรียก “ อาการไหม้ ( hopper burn )”

content/picdata/200/data/A5.jpg

ไอ้เพลี้ย เวรนี่หายไปหลายปี ตอนนี้มันกลับดันมาลงทำให้ชาวนาน้ำตาร่วง เสียหายหนักกว่า 10 จังหวัด หนักๆก็คือแหล่งที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ อย่างสุพรรณบุรี อุทัยธานี สุโขทัย เป็นต้น
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลนั้น เขาว่ามันมีวงรอบของมันเหมือนกัน คือช่วง 8-10 ปี มันจะย้อนยกโขยงกลับมาดูดต้นข้าว ทำความเสียหายให้กับชาวนาสักครั้ง
ก็น่าแปลกเหมือนกัน ที่ปีนี้เพลี้ยกระโดดมันมาจังหวะพ้องกับรัฐบาลพรรคดักดาน ซึ่งห่างหายไปจากการบริหารประเทศเพราะประชาชนเขาไม่เลือกเป็นเสียงข้างมาก นานพอๆกับไอ้เพลี้ยจังไรนี่ แต่กลับดันทะลึ่งได้มาเป็นรัฐบาล แบบมีคนหาบคนหาม อย่างไม่มีใครคาดคิด และเป็นจังหวะเดียวกับเพลี้ยกระโดดที่รูปร่างคล้าย “แมลงสาบ” (ไม่ใช่ชื่อพรรคนะ) หวนมาสร้างความเสียหายให้กับชาวนาไทยเราอีกครั้ง
รัฐบาลนายอภิแสบฯนั้น พอได้มาบริหารประเทศไม่ทันไร กลับเพิกเฉย ละเลยให้มีการทุจริตคิดมิชอบกันอย่างกว้างขวาง ถลุงงบประมาณของชาติกันอย่างสนุกสนาน บางโครงการฟาดกันเปรมตั้งแต่ในทำเนียบรัฐบาลด้วยซ้ำ ชาวบ้านแช่งด่ากันถ้วนทั่ว จนน้องรองนายกฯกับพวก ต้องจำใจลาออกไปอีกเหมือนกัน
พฤติกรรมของรัฐบาลกับพวก นี้เหมือนเพลี้ยอัปรีย์เพราะจงใจก็ดูดเอาเงินทองของชาติ ที่มีอยู่น้อยนิด ไปบำเรอนักการเมืองในกลุ่มของตน จนผู้คนเขาจับได้ และเป็นที่ของพี่น้องประชาชนเอือมระอาและชิงชังยิ่งนัก
ที่น่าเกลียดน่าชังเหลือเกิน ก็คือ...
...ได้ อำนาจปุ๊บ ก็ ‘แดกปั๊บ’ ทันทีทันใด!
หลักฐานฟ้องชัดๆว่า พวกมัน ‘เตรียมการ’ โกงล่วงหน้า มาเลยนี่ครับ!!
ก็มันไม่ซื่อสัตย์อย่างนี้แล้ว ผมจะขนานนามรัฐบาลนาย
มาร์ค มุกควาย ว่าเป็น “รัฐบาลเพลี้ยกะแดก” ...ได้ไหมครับ!?

เฮ้อ...มันน่าหนักใจ ทั้ง‘เพลี้ยกระโดด’ กับไอ้รัฐบาล‘เพลี้ยกะแดก’ นี่จริงๆ!!!

..............

หมาย เหตุ เป็นครั้งแรก ที่คอลัมน์ “จดหมายฟ้องโลก” มีผู้อ่านเกินหนึ่งหมื่นท่าน
กราบขอบพระคุณ แฟนๆทุกท่านครับ

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น