วันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ร่วมใจเสื้อแดง

พี่น้องรักประชาธิปไตยทุกท่านช่วยกันถอนเงินในบัญชีออกมาจากธนาคารออมสินให้หมดเพราะรัฐบาลจะกู้ทิ้งทวนโดยจะทำการถอนเงินวันที่17พยนี้พี่น้องต้องช่วยกันถอนเงินที่มีอยู่ในวันที่16พยนี้พร้อมกันทั่วประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ห า ย น ะ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ภ า ย ใ ต้ เ งื้ อ ม มื อ รั ฐ บ า ล อุ้ ม ส ม ข อง อำ ม า ต ย์

เพื่อที่จะให้สอดคล้องกับบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นอกสภาฯ จึงขอหยิบยกเรื่องราวความหายนะของประเทศไทยมานำเสนอท่านผู้อ่านเพียงบางส่วนเท่านั้น



ป ร ะ ก า ร แ ร ก

นโยบายเศรษฐกิจของตนเอง ตามหลักวิชาการไม่ปรากฎให้เห็น ไม่มีการแถลงนโยบายที่ผ่านทีมเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ กล่าวในเชิงเปรียบเทียบแล้ว ทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแบบ Dual tracts จะเรียกภาษาไทยให้ไพเราะหน่อยก็เป็น ท วิ วิ ถี หรือ คู่ขนานหรือสองแนวทาง คือด้านเศรษฐกิจรากหญ้าภายในประเทศและเศรษฐกิจระดับมหภาคระหว่างประเทศออกมาเป็นรูปธรรมก็คือ

การแก้ปัญหาคนยากจนและพวกเอสเอ็มอีกับการเพิ่มจีดีพีโดยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และการค้าระหว่างประเทศ มีการแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้คนยากจนที่อยู่ใต้เส้นความยากจนประมาณ 20 % ของประชากรลดลงมาเหลือประมาณ 10 % และลดต่ำลงอีก เกิดสวัสดิการจากรัฐในด้านการรักษาพยาบาลที่โดดเด่นที่สุดในโลก รวมทั้งอุดหนุนการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยโครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษาตั้งแต่มัธยมถึงอุดมศึกษา

โครงการเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย ขยายโอกาส โดยการสร้างแบรนด์โอทอปให้โด่งดังและเปลี่ยนจากอาชีพเสริมของปราชนในชนบท ให้เป็นรายได้หลักของประชาชน มีการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีจนมีขนาดเกือบครึ่งของจีดีพีประเทศไทย

การสร้างตลาดใหม่ ๆ เพื่อการส่งออก ทำให้กระจายความเสี่ยงได้ดี เมื่อเศรษฐกิจประเทศยักษ์ใหญ่เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ตกต่ำลงหรือชะลอตัว ทำให้การส่งออกประเทศไทย ยามมีวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จึงรุนแรงน้อยกว่า เกาหลี สิงคโปร์ เพราะเรามีการค้าประเทศอื่น ๆ มากขึ้น

ปัญหาการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอี ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย รายจิ๋ว ได้รับการดูแลเอาใจใส่รวมทั้งกองทุนหมู่บ้าน กองทุนเอสเอ็มแอล ตลอดจนสินเชื่อและโครงการที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยเช่น โครงการบ้านมั่นคง บ้านเอื้ออาทร ตัวอย่างที่ผู้เขียนยกมาเป็นเพียงบางส่วนที่เด่นดังเท่านั้น และหน่วยงานที่จะเป็นประโยชน์ได้ถูกตั้งขึ้นมาเช่น ศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบที่พยายามปรับปรุงให้ผู้ประกอบการรายย่อยไทยได้ ใช้สนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างมีแผนการ แน่นอนว่าแนวทางใหญ่นั้นรัฐเข้ามาวางแผนดูแลจัดการเศรษฐกิจไม่ได้ปล่อยตาม บุญตามกรรมแบบเศรษฐกิจการตลาดเสรีนิยมใหม่แบบเดิมของรัฐบาลประชาธิปัตย์ใน อดีต

มาถึงรัฐบาลชุดนี้นับแต่ได้รับการอุ้มสมเข้ามาเป็นรัฐบาลจากระบอบอำมาตยา ธิปไตยที่มีขุนศึกทำรัฐประหารมีตุลาการภิวัฒน์และอันธพาลครองเมือง หาได้มีแนวทางนโยบายและยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใด ๆ


ที่ผู้เขียนเห็นก็มีแต่การก็อปปี้จากนโยบายเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยเดิม ทั้งสิ้น โดยไม่กระดากอายและไร้เกียรติภูมิ ที่เคยด่าว่าเขาสาดเสียเทเสีย รวมทั้งนักวิชาการเศรษฐกิจ การเมืองที่เคยด่าว่า นโยบายเศรษฐกิจของคุณทักษิณ พากันปิดปากสนิท ไม่เห็นโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์แบบเดียวกับที่เคยโจมตีคุณทักษิณป่นปี้ไม่มี ชิ้นดีมาก่อน


เรื่องนี้เป็นการเปิดเผยตัวตของรัฐบาลประชาธิปัตย์ปัจจุบัน และนักวิชาการคอลัมนิสต์เศรษฐกิจการเมืองของค่าย นสพ. จำนวนหนึ่งว่ามีคุณค่าพอที่จะบริหารประเทศหรือคุณค่าที่จะเป็นปากเสียดงดูแล ผลประโยชน์ให้ประชาชนหรือไม่


นอกจากก็อปปี้โครงการทุกอย่างของไทยรักไทยแล้ว ยังก็อปปี้ดโครงการที่เรียกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจต่างประเทศมา
เช่น เช็คช่วยชาติและการใช้เงินกู้จำนวนมากมาถลุงเป็นก้อนใหญ่มหาศษลเป็นจำนวน หนี้สาธารณะสูงถึงประมาณ 60 % ของมูลค่าจีดีพี 9 ล้านล้านบาท โดยเอาอย่างประเทศทุนนิยมตะวันตกที่มีการพัฒนาสูงและมีรายได้จากภาษีอากร สัดส่วนสูงกว่าเรามาก



ป ร ะ ก า ร ที่ ส อ ง

ผลจากการกู้เงินมาใช้จ่ายเป็นจำนวนสูงมาก โดยไม่คำนึงถึงว่าจะสร้างประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ จะสร้างหายนะให้กับประเทศไทยที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เอาเป็นว่าอย่างแรกคือเราจะมีรายได้พอที่จะจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นจำนวน หนึ่งได้เพียงพอหรือไม่ ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดู เงินกู้ประมาณ 5 ล้านล้านบาท ที่จะถึงจำนวนนี้ใน 4 – 5 ปีข้างหน้า ดอกเบี้ยอย่างเดียว


ถ้า 1 % ก็ 5 หมื่นล้านบาท / ปี
ถ้า 2 % ก็ 1 แสนล้านบาท / ปี


นี่คิดเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น แล้วประเทศไทยจะใช้หนี้อย่างไรเกิดเป็นหนี้ทบต้นไปเรื่อย ๆ ไม่หายนะกันได้อย่างไร

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลางเปิดเผยว่า ภาคการคลังของไทยจะอ่อนแอมากในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณในการจ่ายหนี้สูงถึงปีละ 1.8 แสนล้านบาท และมีภาระงบสวัสดิการสูงมาก การ พรบ. กู้เงินและ พรก. กู้เงินใหม่ 7 – 8 แสนล้านบาททำให้ยอดการขาดดุลการคลังต่อปีสูงถึง 7 %

สัดส่วนหนี้สาธารณะสูงถึง 60 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทยปัจจุบันนี้จะจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าสามหมื่น ล้านต่อปี (แต่จะถึงแสนล้านบาทใน 4 – 5 ปีข้างหน้า) นี่ถ้าคิดดอกเบี้ย 3 % ยิ่งหนักอีกเพราะรัฐบาลนี้ขายพันธบัตรให้คนร่ำรวยในประเทศให้ดอกเบี้ยสูง ถึง 4 % ต่อปี

ปัจจุบันนี้ต้องชำระหนี้ (เงินต้นบวกดอกเบี้ย) เฉลี่ยปีละ 1.5 แสนล้านบาทอยู่แล้ว

“ก็น่าจะเพิ่มเป็น 2 แสนล้านบาทต่อปีในเร็ววันนี้”


ประโยคหลังนี้เป็นของผู้เขียน แล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไรในเมื่อรายได้ลดแต่รายจ่ายเพิ่มจนน่าตกใจ




ป ร ะ ก า ร ที่ ส า ม

การจ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้ประโยชน์ แต่ใช้เพื่อหาคะแนนนิยม ซ้ำมีการคอร์รัปชั่นโกงกินหาผลประโยชน์อย่างมูมมาม กินเล็กกินน้อย ตั้งแต่ปลากระป๋องเน่าในถุงยังชีพ โครงการชุมชนพอเพียง ที่โกงเงินชุมชน โครงการคอร์รัปชั่นของไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุขนี้ล้วนมีหลักฐานที่ ถูกเปิดโปงมากแล้วทั้งสิ้น แต่ที่รอการเปิดโปงมีอีกมากมาย

โครงการไทยเข้มแข็งที่แบ่งตามกระทรวงต่าง ๆ เห็นชัดว่าเป็นการแบ่งเค้กทางการเมืองให้กับพรรคร่วมรัฐบาลเต็มที่ โครงการต่าง ๆ จำนวนมากก็เป็นโครงการเดิม ๆ ที่กลุ่มเนวิน และเพื่อนพ้องทำไว้ตั้งแต่รัฐบาลพลังประชาชนจำนวนหนึ่งและแบ่งเค้กใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกโดยมิได้มียุทธศาสตร์เศรษฐกิจแต่ประการใด เป็นโครงการใครเข้มแข็ง ?

ที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันหมดในปัจจุบัน ผู้รับเหมากลุ่มใดจะได้ประโยชน์ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด ระดับชาติ จะเปิดเผยตัวตนออกมาว่าเกี่ยวข้องกับนักการเมืองร่วมรัฐบาลเพียงใด การถลุงเงินก้อนใหญ่ที่กู้มากที่สุดของประเทศไทยหลายล้านล้านบาท

ครั้งนี้หวังจะใช้เงินสร้างฐานเสียให้แน่นหนาในภูมิภาคของพรรคร่วมรัฐบาล โดยหวังบดขยี้พรรคฝ่ายค้านด้วยอำนาจเงินจากภาษีอากรประชาชนก้อนมหึมาและ อำนาจรัฐที่หนุนช่วยของระบอบอำมาตยาธิปไตยเพื่อจะได้กุมอำนาจรัฐถาวรโดยวิธี ที่ไม่สนใจว่าประเทศจะหายนะอย่างไร เท่ากับเอาประเทศชาติเป็นเดิมพันเอาไปจำนองจำนำ

นี่เป็นวิธีคิดแบบเดียวกับกองกำลังอันธพาลนอกระบบอนุรักษ์นิยมที่ยึดสนาม บินสุวรรณภูมิ สนามบินท้องถิ่น บุกยึดทำเนียบรัฐบาล สถานที่ราชการที่ไม่นำพากับหายนะประเทศไทย ผู้นำกองทัพที่ทำรัฐประหารก็คิดแบบนี้เช่นกัน ไม่สนใจว่าประเทศชาติจะหายนะ ทำการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ตั้งงบประมาณให้หน่วยงานความมั่นคง กระทรวงกลาโหมสูงขึ้นกว่าเดิมมากมาย

มาถึงพรรครัฐบาลของอำมาตย์กู้เงินและใช้จ่ายถลุงกันวายวอด ทั้งเพี่มเงินเดือน โบนัส ค่าตอบแทน เอาเฉพาะค่ารักษาพยาบาลข้าราชการก็สูงถึงเกือบ 7 หมื่นล้านบาทต่อปี นโยบายที่ออกใหม่ ๆ ขณะนี้ยังล้ามเหลวเช่น ประกันราคาข้าว ทำให้ราคาข้าวดิ่งเหว สวนตลาดโลก ถูกทุบเหลือ 5 พันต่อตัน ต้องชดเชยนับแสนล้านบาท นี่คือหายนะประเทศไทยทั้งประเทศชาติและประชาชนภายใต้เงื้อมมืออำมาตยา ธิปไตยแท้จริง


คัดจากคอลัมภ์ เศรษฐกิจ
โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ
จาก นสพ. ความจริงวันนี้ ฉบับวันที่ 27 - 29 ตุลาคม 2552

วันพุธที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

"นพดล"ชี้ถอดยศ"แม้ว"เพิ่มแตกแยก รบ.ต้องรับผิดชอบ "ตู่"ฉุนขู่ตั้งกระทู้ถาม "เฉลิม"ลั่นไม่เคยมีแบบนี้

" แม้ว"ชม"ฮุนเซน"มีน้ำใจเล็งบินไปขอบคุณ ไม่โต้ปชป.อ้าง"หมากัดอย่ากัดตอบ" "บิ๊กจิ๋ว"ยังหัวร่อคนด่า"ขายชาติ" เล็งบินลงใต้3-5พ.ย.คุยไม่มีเสียงปืนแม้แต่นัดเดียว ก่อนเดินสายประเทศเพื่อนบ้าน

ชี้ถอดยศ"แม้ว"เพิ่มความแตกแยก


นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ทำความเห็นถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกับริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์คืน เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกคดีที่ดินรัชดา ว่า เบื้องต้นได้คุย กับ พ.ต.ท.ทักษิณ บ้างแล้ว คิดว่ารัฐบาลพยายามสร้างความชอบธรรมในการดำเนินการเรื่องนี้ โดยใช้คณะกรรมการกฤษฎีกามาอ้างอิงข้อกฎหมาย สำหรับยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นได้รับพระราชทาน จากการทำงานเป็นข้าพระบาท ทำด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ การที่รัฐบาลนำเอาคดีที่ดินรัชดา มาริบเครื่องราชฯ และถอดยศนั้น อย่าลืมว่าคดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น และเกิดภายหลังการยึดอำนาจ


นายนพดล กล่าวอีกว่า รัฐบาลชุดนี้ดิสเครดิต และจ้องทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ทุกวิถีทาง เนื่องจาก หลายคดีที่ นายตำรวจ ทหารมีความผิดร้ายแรงกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่มีการดำเนินการถอดยศ จึงเกรงว่าการกระทำของรัฐบาล อาจเป็นการสร้างความร้าวฉาน ความแตกแยกให้สังคมมากขึ้นไปอีก หากเกิดความไม่ปรองดอง หรือ เกิดความวุ่นวาย เกิดความรุนแรงขึ้นรัฐบาลต้องรับผิดชอบ 9 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลประสบความล้มเหลวในการสร้างความสมานฉันท์ ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลนำเวลาไปทำเรื่องนี้ รวมทั้งไปแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน อย่ามัวแต่หมกมุ่น หวาดกลัว อดีตนายกรัฐมนตรี จนไม่เป็นอันทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง


"ตู่" ฉุน "ถอดยศแม้ว"


นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 28 ตุลาคม ถึงกรณีที่ คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นให้ถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เร่งดำเนินการ และพยายามหยิบยกมาทำลายชื่อเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกครั้ง แต่มาถึงวันนี้ รัฐบาลจะดำเนินการอะไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกระทำทุกอย่างมาหมดแล้ว

ขู่กระทู้ถาม "มาร์ค"คดีหมิ่น-เอกสารเท็จ


นายจตุพร กล่าวว่า แต่เมื่อมีการเร่งดำเนินการเรื่องนี้ ตนก็จะตั้งกระทู้ถามสด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า กรณีที่มีผู้แจ้งความคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ไว้ที่กองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ กรณีไม่นำนายทหาร และนายตำรวจยศนายพลเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณฯก่อนเข้ารับตำแหน่ง รวมทั้งคดีการใช้เอกสารเท็จสมัครเข้าเป็นอาจารณ์โรงเรียนนายร้อย และการดำเนินคดีบุกรุกพื้นที่เขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ไปจนถึงคดีที่มีมีการแจ้งความดำเนินคดีกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่หมิ่นประมาทพรรคเพื่อไทยกรณีที่บอกว่าให้พล.อ.ชวลิต พิจารณาให้รอบคอยที่จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทรยศต่อชาติ


นายจตุพร กล่าวว่า ตนมีสิทธิ์ที่จะตั้งกระทู้ถามถามนายอภิสิทธิ์ อย่างเต็มที่ว่าคดีต่างๆ คืบหน้าไปถึงไหน เพราะนายอภิสิทธิ์มีอำนาจในการกำกับดูแล สตช. แต่ถูกหน่วยงานในกำกับดำเนินคดี ซึ่งดูเหมือนว่าคดีความต่างๆไม่คืบหน้า ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ควรให้ตนได้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี เพราะพล.อ.เปรม และพล.อ.สุรยุทธ์ อยู่ในสถานะเดียวกับตน สำหรับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงนั้นจะยังอยู่ในกำหนดเดิมที่เราได้นัด ชุมนุมใหญ่ไว้คือช่วงปลายเดือนพฤษศจิกายน หลังจากเสร็จงานระดมทุนที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมาเรียบร้อยไปแล้ว โดยเรื่องการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีผลอะไรกับการเคลื่อนไหว


"เฉลิม"ลั่นไม่เคยมีถอดยศแบบนี้


ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงที่รัฐสภาถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นให้ถอดยศ และริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ตามปกติแล้วความเห็นของกฤษฎีกา รัฐบาลจะฟังก็ได้หรือไม่ฟังก็ได้ แล้วแต่ว่าจะส่งประโยชน์ให้รัฐบาลมากน้อยเพียงใด แต่เท่าที่ตนเคยรับราชการตำรวจจนมาถึงปัจจุบัน ตั้งแต่เป็นกรมตำรวจจนมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีการถอดยศเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะการถอดยศที่ผ่านมา จะเป็นการถอดยศข้าราชการตำรวจที่ยังอยู่ในราชการ และมีความประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ส่งผลเสียหายให้กับสตช.และประเทศชาติ แต่ในกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ได้ลาออกจากราชการมานานแล้ว เรื่องที่มีปัญหาก็เป็นเรื่องการเมือง ศาลไม่เคยพิพากษาว่าพ.ต.ท.ทักษิณทุจริตหรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงขอให้รัฐบาลคิดให้รอบคอบ ขอให้มีหิริโอตัปปะ และขอให้สตช.ตั้งหลักให้ดี


"การถอดยศนั้น ต้องประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เกี่ยวพันยาเสพติด ทุจริตหรือคบชู้สู่สาวกับภรรยาชาวบ้าน สิ่งเหล่านี้คือเหตุของการถอดยศได้ทั้งสิ้น ที่สำคัญยศนี้เป็นยศพระราชทาน ไม่ใช่ยศที่พรรคประชาธิปัตย์ให้มา คุณอภิสิทธิ์ไม่อยากใช้ยศก็เรื่องของคุณ แต่คนที่ได้รับพระราชทานเขารำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องการเมือง อย่าใช้ความคับแค้นส่วนตัว ที่ต้องตกเป็นพรรคฝ่ายค้านถึง 8 ปี ภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของ พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินการ" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว


เมื่อถามว่า นายกฯ ระบุว่าเป็นการดำเนินการของสตช.เอง ไม่เกี่ยวกับการสั่งการของนายกฯ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ปากว่าตาขยิบ พูดจาเพราะ ตัวช่วยเยอะ อย่างเรื่องกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง หากพวกตนเป็นรัฐบาลโดนอภิปรายอย่างนั้นอยู่ไม่ได้แล้ว แต่พอเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลับมีตัวช่วยเยอะ กกต.ก็ยังสอบไม่เสร็จเสียที ก็ให้รู้กันไปว่าจะเอาอย่างนี้ และขอให้ทำไปเรื่อยๆ มีแต่จะส่งผลให้พรรคเพื่อไทยได้ส.ส.เกิน 300 คน เพราะตอนนี้ตามโพลล์ก็เกินครึ่งแล้ว เป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้แล้ว สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำจะทำให้ส.ส.เพื่อไทยเพิ่มมากขึ้น

"แม้ว"เล็งไปขอบคุณ"ฮุนเซน"


รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) แจ้งว่า ระหว่างการประชุม ส.ส.พรรค พท. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์มาพูดคุยกับสมาชิกพรรค โดยกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ (ชป.) จะเปิดโปงผลประโยชน์ทับซ้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณกับสมเด็จฯฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ว่า พรรคประชาธิปัตย์พยายามกล่าวหาตนมาโดยตลอด แต่แม่ของตนสอนมาว่าหมากัดอย่ากัดตอบ ยืนยันว่าตนไม่มีธุรกิจในกัมพูชา ทั้งเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ มีแต่ความเป็นเพื่อนกับสมเด็จฯฮุน เซน ที่รู้จักกันมานาน และตั้งแต่เดินทางออกจากประเทศไทยยังไม่เคยไปกัมพูชาแม้แต่ครั้งเดียว ที่มีข่าวว่าไปอยู่เกาะเกาะหนึ่ง ก็ไม่เคยไป แต่อาจจะไปเร็วๆ นี้ เพื่อขอบคุณสมเด็จฯฮุน เซนที่มีน้ำใจ แต่ไม่คิดว่าจะไปอยู่กัมพูชา เพราะไม่อยากให้รัฐบาลกุ้งเต้น กลัวไปมากกว่านี้


"ที่บอกว่าผมต้องการทำลายความมั่นคง ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่เป็นความมั่นคงของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว


"จิ๋ว"หัวร่อคนด่า"ขายชาติ"


รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.ชวลิต ยังชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคถึงเข้าพบสมเด็จฯฮุน เซน ว่า ความจริงแล้วตนไม่ได้ไปทำอะไรเลย พรรค ปชป.ทำให้ทั้งนั้น ตนรู้จักกับสมเด็จฯฮุน เซนมา 25 ปี ไปกัมพูชาเพื่อบ้านเมือง สิ่งที่พูดคุยกันก็มี 3 เรื่องคือ หนึ่ง การแยกกำลังทหารออกจากพื้นที่ สองเมื่อแยกแล้วก็ให้เจบีซี (กรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา) เข้ามาแก้ไขปัญหาชายแดน และสามการเปิดจุดชายแดนถาวรเพื่อทำการค้าขาย ซึ่งสมเด็จฯฮุน เซนเสนอให้เปิดทั้งแนวชายแดนไปเลย และยังพูดเรื่องทรัพยากรในพื้นที่ทับซ้อนที่เคยแสดงท่าทีมาแล้ว 2 ครั้งแต่รัฐบาลนี้ไม่มีใครตอบรับ


"นอกเหนือจากนี้ก็เป็นการพูดคุยเรื่องส่วนตัวทั่วๆ ไป สมเด็จฯฮุน เซน ท่านก็บอกว่ารัก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพื่อนกันมานาน และยอมไม่ได้ที่เพื่อนได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ผมกลับมาเมืองไทยก็พูดแค่นี้ แต่คนก็เอาไปพูดอย่างอื่นหาว่าผมขายชาติ แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้ ได้แต่หัวร่อ" แหล่งข่าวอ้างคำพูด พล.อ.ชวลิต


เล็งลงใต้3-5พ.ย.คุยไร้เสียงปืน


ข่าวแจ้งว่า พล.อ.ชวลิตยังกล่าวว่า กลางเดือนพฤศจิกายนจะเข้าพบนายนาจิบ ราซัค นายกฯมาเลเซียตามคำเชิญเพื่อสร้างสัมพันธภาพและพูดคุยเรื่องการพัฒนาร่วมกัน จากนั้นปลายเดือนจะเข้าพบ พล.อ.อาวุโสตาน ฉ่วย ผู้นำสูงสุดรัฐบาลทหารพม่า และจะเข้าพบท่านโว เหวียน เกี๊ยบ วีรบุรุษประเทศเวียดนาม


"วันที่ 3 พฤศจิกายนจะไปทำงานในภาคใต้ในนามพรรคเพื่อไทย โดยเราจะแสดงให้โลกและผู้คนเห็นว่าสันติภาพสร้างได้ เป็นงานที่ท้าทายพอสมควร แม้ว่าจะไม่บรรลุผล 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ได้แค่ 70-80 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ระหว่างวันที่ 3-5 พฤศจิกายนจะไม่มีแม้แต่เสียงปืนนัดเดียว ถ้าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น วันที่ 5 พฤศจิกายน พวกเราทุกคนจะลุกขึ้นมาประกาศวันสันติภาพสู่มาตุภูมิถวายพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ในนามพรรคเพื่อไทย" แหล่งข่าวอ้างคำพูด พล.อ.ชวลิต

วิจารณ์กันไม่จบเรื่อง "5 ผู้นำ"ประเทศอาเซียนไม่เข้าร่วมพิธีเปิดประชุมสุดยอดอาเซียน

ยัง วิจารณ์กันไม่จบเรื่อง "5 ผู้นำ"ประเทศอาเซียนไม่เข้าร่วมพิธีเปิดประชุมสุดยอดอาเซียน จนต้องยกเลิกการถ่ายภาพ"ผู้นำ"ไขว้มือจับมือกันกลางเวที ในแวดวงการทูตตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้"ไม่ปกติ"

........5 ประเทศที่ไม่เข้าร่วม คือ "อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์-บรูไน" และ"กัมพูชา" ให้เหตุผลที่ไพเราะทางการทูต แต่อย่าลืมว่า"กำหนดการ"ประชุมครั้งนี้แจ้งล่วงหน้าหลายเดือน ไม่ใช่กะทันหัน

........"ผู้นำอินโดฯ"ต้องเข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับ ตำแหน่งประธานาธิบดี-"มาเลเซีย"ติดประชุมงบประมาณประจำปี-"ฟิลิปปินส์"ต้อง แก้ปัญหาพายุลูกใหม่-"กัมพูชา"ต้อนรับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และ"กษัตริย์บรูไน"ทรงพระประชวร...ทั้งที่ถึงเมืองไทยแล้ว นี่คือ เหตุผลของ "5 ผู้นำ" อาเซียน

........ถ้าเห็น"ความสำคัญ"จริง ทุก"กำหนดการ"ย่อมขยับได้ ไม่สงสัยเลยหรือว่า "ผู้นำมาเลย์"รู้ว่าพิธีเปิดงานวันไหน แต่ทำไมจึงกำหนดวันประชุมงบประมาณให้ตรงกัน เช่นเดียวกัน"ฮุน เซน"กับการต้อนรับผู้นำเกาหลีใต้ "อภิสิทธิ์"ต้องหา""เบื้องหลัง"ระหว่างบรรทัดให้เจอ

........ตอนมี เสียงเรียกร้องให้ปลด"กษิต ภิรมย์"หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ จำได้ว่า"อภิสิทธิ์"อ้างเรื่องความต่อเนื่องของการจัดงานประชุมสุดยอดอา เซียน กลัวจะหาคนทำงานไม่ได้ แต่"ผล"ที่เกิดขึ้นวันนี้"อภิสิทธิ์"คงรู้แล้วว่าบางที"ความเป็นมิตร"ดีกว่า "ความต่อเนื่อง"

........แค่ตั้ง"กษิต"ที่เคยด่า"ฮุน เซน"ว่า"กุ๊ย"เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ทายได้แล้วว่าความ สัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาจะเป็นอย่างไร อย่าลืมว่า"กุ๊ย"คนนี้เป็นนายกฯมา 24-25 ปี เคยเล่นเกมการเมืองกับประเทศมหาอำนาจตั้งแต่สู้กับ"เขมร 3 ฝ่าย"

........ นโยบายไล่จับ"ทักษิณ ชินวัตร"ของ"กษิต" กดดันต่างชาติจนลืม"ความเป็นจริง"เรื่อง"ดุลอำนาจ"ในไทย เพราะทูตทุกประเทศรู้เหมือน"คนไทย"ว่าถ้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่ "เพื่อไทย"ที่"ทักษิณ"หนุนหลังมีโอกาสแค่ไหนที่จะชนะเลือกตั้ง

........ ยุทธศาสตร์"แทงกั๊ก"จึงเป็นเรื่องปกติของประเทศที่ไม่ใช่"มหาอำนาจ" ตอนแสดงออกอย่างเป็น"ทางการ"ก็ต้องเข้าข้าง"รัฐบาลไทย" แต่การทูตแบบ"ไม่เป็นทางการ"ก็ต้องรักษา"น้ำใจ"คนชื่อ"ทักษิณ" เรื่องแบบนี้ใครๆ ก็อ่านออก

........"ความเป็นจริง"อีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องไม่ลืม คือ ความสัมพันธ์ส่วนตัวของ"ทักษิณ"กับ"ผู้นำประเทศอาเซียน" ระยะเวลา 5 ปี 9 เดือนนั้นนานทีเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใคร"ป่วยการเมือง"กะทันหัน เพื่อเพิ่มตัวเลขจาก 4 เป็น 5

........" อภิสิทธิ์"คงศึกษาพิธีการทูตแบบ"ตะวันตก" สนใจแต่"สหรัฐอเมริกา-อังกฤษ"แต่ไม่เคยศึกษาการทูตแบบ"จีน" จึงลืมว่าคนฝั่ง"ตะวันออก"ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ไม่เป็นทางการของ"คน" กับ"คน"ไม่น้อยกว่า"รัฐ"กับ"รัฐ" และถือมากเรื่อง"ศักดิ์ศรี"

........ ตอนนี้"ทักษิณ"แวบไปนอนที่มาเลย์ และ"ถาวร เสนเนียม"รมช.มหาดไทยออกมาปูดเรื่องนี้กับสื่อแทนที่รัฐบาลจะดำเนินการทาง การทูตอย่างเงียบๆ "นักการทูต"บางคนวิจารณ์ว่าเล่นแบบนี้"คนเอเชีย"ถือว่าเป็นฉีกหน้ากัน

........ อย่าคิดในทางบวกด้วยเดียว "ทักษิณ"และ"เพื่อไทย"แน่ใจแล้วหรือว่าการดึง"ฮุน เซน"เป็น"แนวร่วม"จะเป็น"ผลดี"มากกว่า"ผลเสีย" จำได้ไหมว่า"ม็อบพันธมิตร"ที่กลับมาแรงอีกครั้งก็เพราะเรื่อง"เขาพระวิหาร" ระวังกระแสพลิกกลับให้ดี

........จะยุบหรือไม่ยุบก็ไม่รู้ แต่ใครไปต่างจังหวัดจะได้กลิ่น"การเลือกตั้ง"แล้ว เพราะทุกพรรคติดป้ายหาเสียงล่วงหน้ากันทุกสี่แยก ว่ากันว่า"นักการเมือง"เป็นคนมี"สัญชาตญาณพิเศษ" ระฆังยังไม่ดัง ก็ออกหมัดแล้ว !!!

...พิธีมงคลสมรส ระหว่าง "สราญจิตต์ ศรีศกุน" นักการทูต กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ บุตรสาว "สว่าง ศรีศกุน" อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กับ "ณรุทธ์ สุนทโรดม" นักการทูต กรมสารนิเทศ จะมีขึ้นในเวลา 18.30 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน ห้องบอลรูม โรงแรมคอนราด...

โดย "วิหคเหินฟ้า"

ด่วนมาก!!! คุณชวนได้รับรายงานเรื่องรถไฟใต้เมื่อกี้ครับ..ตอนนี้สั่งการลงไปแล้ว..

นับเป็นข่าวดีของคนปักษ์ใต้นะครับ..
ส.ส พรรคของท่าน ได้รับรายงานแล้วครับ..เสมียนคงเพิ่งพิมพ์เสร็จ



ในฐานะผมคนภาคอื่น..ผมสงสัยนิดนึงครับ..

- ทำไมคุณอภิสิทธิ์ ไม่เป็นคนสั่งการ คุณ อาคม ครับ..น่าจะอยู่ในขอบเขต หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และ มีอำนาจเต็มทางการสั่งการ และ บริหารงานมากกว่า นะครับ(สร.1)
- ดู Action Plan ตามเนื้อข่าวของทีมงานคุณชวน เชื่องช้าแล้ว ผมก็ยินดีกับคนปักษ์ใต้ด้วยครับ ปัญหาคงลุล่วง ได้รับการแก้ไขอย่างเรียบร้อย ง่ายดายแน่ๆ..ดูมาตรการที่จะ"เคลียร์"ซิครับ รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด..น่าเกรงขามจริงๆ
.........................................................................................................

เบื้องต้นจึงขอเรียกร้องการแก้ปัญหาไปยังสหภาพฯคือ
^
^
"เบื้องต้น" = เขาประท้วงหยุดเดินรถมาจะครึ่งเดือนแล้วพ่อหนุ่ม..เอ็งยังมามัวคลำทางใน"เบื้องต้น"อยู่เลยเหรอ..พ่อมหาจำเริญ...


1.ให้มีการเจรจาผ่านสภาฯ โดยหลีกเลี่ยงวิธีการทีเป็นการกดดันผู้โดยสาร
^
^
ดีนะนี่..ที่ยังไม่ดึงเรื่อง ให้ทำประชามติทั่วประเทศก่อนว่า..สมควรนำปัญหานี้เข้าไปเจรจาที่สภาหรือป่าว.ม.


2. ขอให้เปิดการเดินรถไปในทันที
^
^
เอาหล่ะ..พ่อคู้นนนน. ขอบใจ
เสาไฟฟ้ามันก็พูดได้ประโยคนี้น่ะ..พ่อคู้นนน มีอะไรใหม่ๆกว่านี้มั้ย!!



3.ขอให้สหภาพเจรจากับฝ่ายบริหารคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย รฟท. โดยส.ส.พรรคประชาธิปัตย์รับอาสาเป็นคนกลาง ในการเจรจา
^
^
ฮั่น แน่!! เตรียมลอยตัว ออกตัวล้อหมุน ดูลู่ทางเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่นล่วงหน้าเลยนะ..555 แล้วไอ้ที่บอกว่า"ขอให้สหภาพเจรจากับฝ่ายบริหาร"นั่นน่ะ..พ่อมหาจำเริญ เอาหัวไปมุดทรายอยู่ที่ไหนมา..

ก็เขาทั้งคู่เจรจากันมาจนลูกจะบวช แล้ว..มันไม่สำเร็จไง..พ่อคู้นนนน..พ่อ ส.ส ยอดขมองอิ่มของพรรคไหน ของภาคใดเนี่ย!!! อีกอย่าง คมนาคมแม้จะเป็นของห้อย..แต่ มาร์คเป็นนายกฯรับผิดชอบสูงสุด..แล้วพรรคห้อยเจรจาไม่สำเร็จก็เห็นๆกันอยู่

แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะรับอาสาเป็นคนกลางทำเบือกอะำไร..พรรคของน่ะ ต้องชนปัญหาแต่แรกเลย..

พื้นที่เกิดเหตุ ก็ของพรรคพ่อมหาจำเริญ..ความจริงแล้วต้องเข้าไปแก้ปัญหา ก่อนเรื่องจะถึงมือพรรคห้อยซะอีก.
.



ส่วนอันนี้เห็นด้วย ขอชมเชย..
v
v
"ถ้าขอร้องไม่ได้ ขั้นต่อไปเราก็จะไปเจรจาแต่จะไม่ใช่มีเฉพาะส.ส.เท่านั้น แต่จะมีชาวบ้านไปด้วย ไม่รับประกันจะเกิดความรุนแรงหรือไม่"
^
^
ตีกันไปเลย..เห็นด้วย กามเมืองใหม่ กับ ปชป. ฮาดี..กรุจะรอสมน้ำหน้า.ทั้งคนทั้งพรรคนั้นแหล.


....................................................................................................

ชวนสั่งสส.ใต้ จี้สหภาพรถไฟฯเดินรถใน 24 ชม.
28 ตค. 2552 13:05 น.

นาย อาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีปัญหาการประท้วงหยุดเดินรถอย่างต่อเนื่องของสหภาพการรถไฟแห่ง ประเทศไทยว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้มอบหมายให้ตนในฐานะเป็นส.ส.ผู้ใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ร่วมกับส.ส.ภาคใต้ของ พรรค เข้ามาแก้ปัญหาเพื่อยุติการเดินรถไฟ จากหาดใหญ่ไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมุ่งให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด


เบื้องต้นจึงขอเรียอกร้องการแก้ปัญหาไปยังสหภาพฯคือ

1.ให้มีการเจรจาผ่านสภาฯ โดยหลีกเลี่ยงวิธีการทีเป็นการกดดันผู้โดยสาน
2. ขอใหปิดการเดินรถไปในทันที
3.ขอให้สหภาพเจรจากับฝ่ายบริหารคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย รฟท. โดยส.ส.พรรคประชาธิปัตย์รับอาสาเป็นคนกลาง ในการเจรจา


นายอาคมกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยการการที่สหภาพการรถไฟฯใช้ผู้โดยสาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวประกันนำมาต่อรอง

" จึงขอเรียกร้องให้ประชาชน 3 จุงหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกันประณาม"การกระทำของนายสาวิต แก้วหวาน ประธานสหาภาพฯ นอกจากนี้ให้การรถไฟดำเนินการตามกฎหมายกับพนักงานที่ทำความผิดโดยด่วน ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวหาว่า ผู้บริหารการรถไฟมีการทุจริตก็ขอให้สหภาพฯส่งข้อมูลให้กรรมาธิการคมนาคมด่วน และหลังจากนี้ 24 ชั่วโมงรถไฟภาคใต้ 3 จังหวัด ควรจะเดินรถ ไฟตามปกติ โดยเร็ว

ผมไม่อยากทะเลาะกับสหภาพการรถไฟฯ แต่อยากทะเลาะกับนายสาวิต ที่ไม่ทราบว่าไปรับจ็อบรับนโยบายใคร พรคการเมืองไหนหรือไม่จึงขอให้คนใต้ร่วมประประณามนายสาวิต เรื่องนี้เราตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเหตุการณ์ประท้วงจึงเกิดขึ้นในภาคใต้เท่า นั้น

มองได้หลายมุมว่า อาจมีกระลวนการดิสเครดิตกระทรวงคมนาคม หรือรัฐบาลเกิดขึ้น "เพราะการเคลื่อนไหวของสหภาพการรถไฟฯ สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของพรคการเมืองบางพรรค" ถ้าขอร้องไม่ได้ ขั้นต่อไปเราก็จะไปเจรจาแต่จะไม่ใช่มีเฉพาะส.ส.เท่านั้น แต่จะมีชาวบ้านไปด้วย ไม่รับประกันจะเกิดความรุนแรงหรือไม่

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=413273&lang=T&cat=

เชิญชมหลักฐานชัดเจนว่าพลเอกเปรมท่านวางตัวเป็นกลางจริงๆครับ

ชาวเสื้อแดงที่รักทุกคน โปรดให้ความเป็นธรรมกับท่านด้วย




3 กมธ.วุฒิ ถกประมูล 3จี ใครได้ผลประโยชน์แสนล้าน


กทช.ยันประมูล3จีโปร่งใสรัฐได้ประโยชน์เต็มที่ ด้านสหภาพกสท.แนะชะลอหวั่นนอมินีต่างชาติฮุบคลื่น 3จี ขณะที่นายกสภาทนายความ เสนอยื่นศาลรธน.ตีความอำนาจกทช. เอกชนไม่เกี่ยงแต่เงื่อนไขต้องชัดเจน ระบุตปท.เก็บค่าคลื่นไม่สูงส่งผลพัฒนาระบบเร็ว ประเทศได้ประโยชน์

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดเสวนาเรื่อง “ 3G ความถี่แสนล้าน : ประโยชน์ชาติหรือประโยชน์ใคร ?” โดยมีสมาชิกวุฒิสภา อาทิ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 กล่าวเปิดพิธี

นายเศรษฐพร กล่าวถึงการดำเนินโครงการ 3จีว่า จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งในแง่การลงทุน ของผู้ที่ได้รับสัมปทาน ในการขยายเครือข่ายการให้บริการ และเป็นการให้บริการด้านข้อมูลที่หลากหลายแก่ประชาชน และทำให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้นและรวดเร็ว ทั้งนี้ ในส่วนขั้นตอนการประมูลนั้น จะมีการออกหนังสือเชิญชวนแก่ผู้ที่สนใจ แต่การกำหนดวันประมูลต้องกำหนดอีกครั้ง โดยจะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในวันที่ 12 พ.ย. เพื่อนำมาประกอบการพิจารณากำหนดวันประมูล พร้อมทั้งยืนยันว่า กทช. จะต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม นอกจากนี้ หากมีรายได้จากการประมูลก็จะส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินทั้งหมด จึงเชื่อว่าการประมูลในครั้งนี้จะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

ขณะที่นายเดช อุดม กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่ได้คัดค้านโครงการ 3จี เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ต่อประชาชน แต่ขอตั้งคำถามว่า ทำไมต้องมีการเร่งดำเนินการ ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจน ในเรื่องของอำนาจหน้าที่ของ กทช. อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าควรให้คณะกรรมาธิการของทั้ง 2 สภาที่เกี่ยวกิจการโทรคมนาคมเร่งตรวจสอบความถูกต้องของการดำเนินการของ องค์กรอิสระของ กทช.และขอเสนอให้ผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือต้องเสียหายเสนอเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยตรง เพื่อพิจารณาอำนาจหน้าที่ของ กทช.ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2550 ให้ได้ข้อวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานแก่การปฏิบัติ และขอให้รัฐบาล หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องยับยั้งโครงการการประมูลไว้ก่อนจนกว่าจะได้มีความ ชัดเจนในเรื่องข้อกฎหมายดังกล่าว

“ผมอยากให้มีการพิจารณาประโยชน์และ ส่วนได้ ส่วนเสียในการดำเนินการของ กทช. ในเรื่องของการดำเนินการคงสิทธิเลขหมายของ กทช. ประกอบกับการจัดสรรคลื่นความถี่ IMT หรือ 3G and Beyond ของ กทช. เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองดูแลทรัพยากรโทรคมนาคม ซึ่งเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ และเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะตามครรลองแห่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ” นายเดชอุดม กล่าว

ด้านน.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า หากกรอบการประมูลยังคงเป็นเช่นเดิม ก็จะมีเพียง 3 บริษัทเดิมที่เข้าประมูลซึ่งทำให้ทั้ง 3 บริษัทเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน แต่หากต้องการให้ภาครัฐได้ประโยชน์อย่างแท้จริง รัฐจะต้องได้รับประโยชน์ในอัตราที่ไม่ต่างจากผู้ได้สัมปทานที่เคยจ่ายให้รัฐ ก่อนหน้านี้ ส่วนการให้บริการต้องครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ซึ่งจะต้องมีการติดตามตรวนสอบ และจำเป็นต้องมีกลไกติดตามการดำเนินการอย่างชัดเจน โดยกระบวนการทั้งหมดควรให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วม เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

นายสุขุม ชื่นมะนา ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบริษัท กสท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สหภาพไม่ได้คัดค้านหาก 3 จี แต่เห็นว่า คลื่นความถี่ 3 จี เป็นของประชาชน ถามว่าเมื่อให้ใบอนุญาต 3 จี กับบริษัทเอกชน จะมีใครรับประกันได้ว่า บริษัทเอกชนจะไม่ได้เป็นนอมินีของคนต่างประเทศ แม้จะมีการกฎหมายบังคับเรื่องการถือหุ้นของต่างชาติก็ตาม คลื่นความถี่ของชาติอาจตกอยู่ในมือของคนต่างชาติได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องอื่นๆอีก ทางสหภาพเห็นว่า รัฐควรชะลอการเรื่องนี้ออกไปก่อนจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องข้อกฎหมาย สังคม และเศรษฐกิจ เพราะคลื่นความถี่ไม่ใช่ของคณะกทช.เพียง 3 คนแต่เป็นของประชาชน จึงขอให้ดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม

นายอนันต์ วรธิติพงศ์ ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมการการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การสื่อสารและการคมนาคม วุฒิสภา กล่าวว่า จากการศึกษาของกรรมาธิการฯเห็นว่า ควรเร่งรัดให้มีการดำเนินการเรื่อง 3 จีอย่างเร่งด่วน ซึ่งรัฐบาลก็ได้ประกาศนโยบายว่าจะส่งเสริมด้านการสื่อสารและสร้างความเท่า เทียมกัน แต่ที่ผ่านไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้ ซึ่งตนเสียดายโอกาสนักลงทุนและเสียดายที่เงินที่จะเข้าสู่รัฐกว่า 300,000 ล้านบาท โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องออกพันธบัตรเพื่อระดมเงินเข้าสู่รัฐ นอกจากนี้รายได้ของรัฐไม่เพียงแต่การให้สัมปทานในเรื่องคลื่นความถี่ จะรายได้ก็จะมาจากอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ส่วนผลพลอยได้อื่นๆคือ การที่ประเทศจะได้พัฒนาเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร ระบบการสื่อสารทางไกล เป็นต้น ส่วนข้อกังวลเรื่องการผูกขาดนั้นไม่มีเพราะความถี่จะมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ แม้ว่า กทช.จะออกใบอนุญาตให้กับบริษัทสื่อสารหรือโทรคมนาคม 2-3 บริษัทแต่ไม่ปิดกั้นคลื่นความถี่ ซึ่งยังสามารถเปิดคลื่นความถี่ได้อีก โดยในอนาคตก็สามารถเปิดคลื่นความถี่ 4 จี

นายอธึก อัศวานันท์ รองประธานกรรมการ และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมาย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การพัฒนาระบบ 3G ในประเทศไทย ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เพราะจะทำให้ประชาชนในเมืองและชนบทได้รับข้อมูล ข่าวสารเท่าเทียมกัน ทั้งด้านการศึกษา สังคมและบันเทิง ดังนั้นการพัฒนาระบบ 3G จึงไม่ควรถูกปิดกั้นด้วยปัญหาข้อขัดแย้งเรื่องการประมูลคลื่น เนื่องจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่ใช้ 3G นั้น ในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย มีการจัดเก็บค่าคลื่นไม่สูง จึงทำให้การพัฒนาระบบ 3G เป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ในประเทศอังกฤษที่มีการเรียกเก็บค่าสัมปทานจากเอกชน ทำให้การพัฒนาโครงข่ายของอังกฤษมีปัญหาโดยเฉพาะบริษัทที่รับสัมปทานแต่เป็น เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งจึงไม่ล้ม ดังนั้นจะต้องคิดให้ดีว่าการจัดสรรคลื่น 3จีจะเอารัฐหรือประชาชนเป็นตัวตั้ง

อ่านข่าวนี้!!!!! คนไทยอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว ก่อนจะฉิกหายไปมากกว่านี้

อินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 52)--มาเลเซียได้เปิดเผยแผนการเปิดเสรีอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งรวมถึงการอนุญาตผลิตรถหรูหราราคาแพงซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการควบคุมไว้ และไฟเขียวให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในภาคอุตสาหกรรมได้ 100%
นอกจากนี้ กระทรวงการค้าของมาเลเซียกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป มาเลเซียจะเสนอมาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับการพัฒนารถไฮบริดและรถที่ใช้ พลังงานไฟฟ้า และสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถสัญชาติมาเลเซียอย่าง โปรตอน จับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทรถยนต์ระดับโลก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า มาตรการต่างๆเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของ ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น ขณะที่มาเลเซียพยายามที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านยานยนต์ระดับภูมิภาค แข่งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ไทย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการค้ากล่าวว่า กฎระเบียบเกี่ยวกับการนำเข้ายานยนต์และการเก็บภาษีจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อ ไปจนกว่าจะถึงปี 2563--จบ--

'เพื่อนตายแม้ว'เตือน'ป๋า' ตอนนี้คนกองทัพเริ่มคิด! ทุกวันนี้..อ้างอิง'สถาบัน' เพื่อทำลายคนอื่นเท่านั้น


เอ่ยชื่อ "พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี" นายทหาร “ตท.10” หลายคน...คงรู้จักเขาเป็นอย่างดีในฐานะ “ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน” ในวัน-เวลา...ที่มีการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ซึ่งว่ากันว่า เป็นหน่วยคุมกำลังกองทัพอากาศ ที่ ณ เวลานั้น ประกาศชัดเจนว่า อยู่ฝ่ายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และ “วางปืน” เป็นหน่วยสุดท้าย...จนไม่เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ และทำให้ “ปฏิวัติหน่อมแน้ม” ในครั้งนั้นได้รับ “ดอกไม้” แทนที่จะเป็น “ก้อนอิฐ”

“ความใจถึง” ในครั้งนั้น...ส่งผลให้เขาได้รับเกียรติ-ยกย่องว่า เป็น “เพื่อนตาย” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อีกคนหนึ่ง ถึงขนาดถูกส่งให้เป็น “หนึ่ง” ในหลายๆ คนที่เดินเกมเจรจาและต่อรองกับ “บุคคลทุกระดับ” ในเมืองไทย เพื่อปูทางให้ “ทักษิณ” กลับบ้าน

ล่าสุด...ในการประกาศเปิดตัว “นายทหารตท.10” จำนวน 52 คน ที่ขันอาสาเข้ามาทำงานในพรรคเพื่อไทย...อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางเสียงคำรามเตือนของ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ส่งสัญญาณเตือนแบบมีนัยยะผ่าน “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่า “ให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ ก่อนจะเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ

เสมือนหนึ่งเป็นการ “เปิดหน้า” แยกฝ่าย-แยกขั้วกันอย่างชัดเจน...อย่างเป็นทางการ!!!

บรรทัดต่อจากนี้...คือคำอธิบายจากปากของ “พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี” เพื่อนตายของ “ทักษิณ” ที่ออกมาไขความกระจ่างเรื่อง “ทรยศต่อชาติ” ว่า “จริง-เท็จ” เป็นอย่างไร และมูลเหตุจงใจอะไร ทำไม “ตท.10” ถึงยกทีมแห่เข้าพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะกับ "คำคิดถึง" ไปถึง "เพื่อนป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ." ว่า "ต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าคิดจะทำอะไร"

รวมถึงการประกาศชัดเจนว่า “ทุกวันนี้มีการอ้างอิงสถาบันเพื่อทำลายคนอื่นเท่านั้น”...อะไรทำให้ “เขา” คิดเช่นนั้น...และต้องการ “สื่อ” ไปถึง “ใคร”...เชิญค้นหาคำตอบแบบคำต่อคำได้!!!

Q : ในฐานะแม่บ้านรวบรวมเพื่อนฝูงเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) เข้าพรรคเพื่อไทย นอกจากเข้ามาเล่นการเมือง มีจุดประสงค์อื่นด้วย
A : ที่รวมเพื่อนๆ เข้าไปด้วยกัน ก็ไปด้วยกัน ไม่มีใครนำใคร มีจุดประสงค์ที่เราคุยกันไว้ว่า เมื่อออกจากราชการแล้วจะช่วยชาติบ้านเมือง ทำประโยชน์ให้กับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ได้มีการพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไร เมื่อคุยกันก็ได้ข้อสรุปว่า เราน่าจะเข้าไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้ทำการเมืองอยู่และคิดว่ามีรายละเอียดการทำงานของพรรคที่เป็นแนวทาง ที่ถูกต้องเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข เราก็เลยคิดว่าน่าจะไปอยู่กันตรงนี้ จึงได้ชักชวนกันเข้ามาในพรรค

Q : การเดินทางไปพบคุณทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) มีส่วนสำคัญที่ช่วยในการรวบรวม “ตท.10”
A : ท่านทักษิณเคยพูดกันตั้งแต่สมัยที่เป็นนายกฯ เมื่อปี 2546 หรือปี 2547 ท่านก็บอกว่าเพื่อนๆเราเนี่ย เป็นที่พอจะมีความรู้ความสามารถ เพราะการจะสอบเข้าเตรียมทหารได้ต้องมีความสามารถพอสมควร หลังจากนั้นก็ไปทำงานกันหลายที่ ชีวิตรับราชการ 30 ปี บางคน 40 ปี ก็ได้ประสบการณ์ต่างๆมา คือท่านบอกว่าเมื่อเกษียณอายุ ก็ช่วยกันมาทำพรรค ในสมัยที่ท่านเป็นพรรคไทยรักไทย แนวความคิดเนี่ยพวกเรามีความรู้ความสามารถ เมื่อเกษียณแล้วก็มาช่วยกันทำการเมือง คือพูดตั้งแต่ท่านเป็นนายกฯ เราก็ยึดถือกันมา ปีนี้เป็นปีที่รุ่นเราเริ่มเกษียณอายุ ก็มาคุยกันและมีแนวทางเข้ามาอยู่กับพรรคเพื่อไทย

Q : เรียกได้ว่าตั้งแต่ช่วงที่คุณทักษิณยังมีอำนาจ จนถูกยึดอำนาจไป ความสัมพันธ์และความสนิทสนมของตท.10 ยังเหนียวแน่น
A : ยังเป็นเพื่อน ถึงแม้จะแยกกัน มีอุดมการณ์ต่างกัน ทำงานกันคนละที่ แต่ความเป็นเพื่อนก็คือเพื่อน ท่านเคยพูดว่าเราจะต้องเป็นเพื่อนกันและมีการเลี้ยงรุ่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือ 2 คนก็ยังต้องเลี้ยงกัน จนกระทั่งเหลือคนสุดท้ายก็อาจจะไม่มีการเลี้ยง ก็ตายจากกันไป เคยพูดล้อเล่นกันอย่างนี้ ก็พูดอย่างนี้มาตลอด ความเป็นเพื่อนยังแน่นแฟ้น แต่ว่าการทำงานแต่ละคนก็มีหน้าที่ อาจมีแนวความคิดตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง

Q : ตท.10 ไม่กลัวถูกข้อกล่าวหาเหมือนคุณทักษิณ ทั้งเรื่องความไม่จงรักภักดี การทุจริตคอรัปชั่น
A : ไม่หรอกครับ เพราะการมาทำงาน ผมก็ไม่เชื่อว่าท่านทักษิณ ท่านจะมีพฤติกรรมแบบที่พูด แล้วที่พวกเราเข้ามา ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเรา เรื่องจะทุจริตหรือไม่ทุจริต ก็เป็นเรื่องการกระทำต่อไปข้างหน้า แต่คิดว่าสมัยนี้มันลำบากของการทำทุจริต เพราะมีการตรวจสอบกันเยอะ นอกจากจะทำแบบไม่แคร์ใคร เหมือนทุกวันนี้เขาก็ทำแบบไม่แคร์ใคร ก็พอได้ แต่มันก็จะทำให้ชื่อเสียงของตัวเองเสียหายไป คิดว่าเราเคยเป็นข้าราชการ เคยรับใช้ประเทศชาติกันมาคงจะไม่ทำอย่างนั้น

Q : ทำไมจึงตัดสินใจเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่การเมืองค่อนข้างร้อนแรงและมีการแบ่งฝ่ายค่อนข้างชัดเจน
A : คืออันนี้เป็นความเข้าใจผิด คือเราเกษียณอายุเมื่อ 30 ก.ย. เราใช้เวลารวบรวมเพื่อนฝูงและคุยกันประมาณ 10 กว่าวัน แล้วถึงได้พากันมา มันเป็นช่วงพอดี เราไม่ได้คิดถึงว่ามีอะไร คิดว่าเกษียณแล้วเราจะไปทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย

Q : แต่มีการมองกันว่าการเข้ามาเพื่อไทยกว่า 50 คน เหมือนเป็นแรงที่ช่วยต่อรองในการทำงานการเมืองให้กับพรรคเพื่อไทย

A : เราก็บอกทางพรรคไปแล้ว และบอกผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคว่า เรายินดีไปเสริมเติมในส่วนที่เรามีประสบการณ์ ไม่คิดว่าจะเป็นอะไรหรือเข้าไปแล้วเป็นโน่น-เป็นนี่ ไม่ใช่ แต่ว่าถ้าพรรคใช้ให้เราไปทำอะไร หรือต้องการประสบการณ์ที่เราผ่านมาทางไหน เราก็ยินดีที่จะทำให้ทุกอย่าง คือเราเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุมาแล้ว มีประสบการณ์ที่จะมาช่วยสิ่งใดได้ก็จะช่วย ไม่จำเป็นว่าจะเป็นไอ้นั่น-ไอ้นี่ ไม่ได้คิด

Q : ขุมกำลังของตท.10 จะมีเข้ามาอีก
A : คาดว่าน่าจะมีบ้าง นี่เพิ่งเกษียณอายุมา 60 คนเท่านั้นเอง เพราะบางคนก็ไปต่างประเทศอยู่ ปีหน้าก็จะเกษียณอีกเป็นร้อยคน

Q : ตท.10 เป็นเพื่อนกับคุณทักษิณ การเข้ามาร่วมทำงานกับพรรคเพื่อไทย มีการมองว่าเพื่อเป็นพลังในการต่อกรกับอำนาจอีกฝ่าย
A : ไม่ใช่...เราไม่เคยคิด เราคิดที่จะเข้ามาตั้งแต่สมัยพ.ต.ท.ทักษิณเป็นรัฐบาลด้วยซ้ำไป เมื่อเกษียณอายุจะมาช่วยทางด้านการเมือง เพื่อทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ไม่ได้คิดหลังจากโดนปฏิวัติแล้ว คิดกันมานานแล้ว

Q : มีบางคนบอกว่าการเข้ามาเพื่อไทยก็จะมีส่วนช่วยในการเข้าไปทำความเข้าใจกับฝ่ายทหารได้
A : น่าจะมีบ้างบางส่วนที่ยังอยู่เป็นเพื่อนที่รักนับถือกัน หรือเป็นลูกน้องเก่าที่ยังเคารพนับถือกัน ก็จะต้องคุยกันเรื่องความถูกต้อง อะไรถูกต้อง-ไม่ถูกต้อง ก็คงต้องมีบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เพราะแต่ละคนรับราชการมา ก็จะมีพี่-มีน้อง-มีเพื่อน ก็คงต้องคุยกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

Q : ที่ผ่านมา ฝ่ายทหารมีความเข้าใจผิดในตัวของคุณทักษิณ
A : คือไม่น่าจะมีอะไรเข้าใจผิดหรอก แต่ว่า “ครั้งนั้น” เหตุการณ์มันรุนแรง คนถูกกล่าวหา กลุ่มโน่น-กลุ่มนี้ก็ออกมาต่อต้าน มันก็ทำให้หลายฝ่ายคิดว่าเป็นความจริง ทั้งที่บางอย่างไม่ได้เป็นความจริง หลังจากนั้นมา 3-4 ปี หลายคนก็เริ่มรู้ว่า “อะไรมันคือความจริง”

Q : เท่าที่คุยกับกองทัพ ความรู้สึกกับพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไร
A : อันนี้บางคนมันก็เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เขามีหน้าที่เขาต้องทำงานอยู่กับผู้บังคับบัญชาเขาต้องทำงานให้ผู้บังคับ บัญชา ก็ว่ากันไป แต่ใจเขาจะคิดยังไงก็อีกเรื่องนึง ก็มีทั้ง 2 ฝ่ายทั้งเห็นดี-เห็นไม่ดี

Q : ตท.10 จะช่วยเข้าไปทำความเข้าใจ
A : ก็คงไม่ถึงกับเข้าไปทำความเข้าใจ ก็คุยกันตามปกติ ถึงแม้จะไม่ได้เข้ามาอยู่ในพรรค ก็คุยกันอยู่แล้วกับเพื่อนฝูง กับลูกน้องเก่าๆ ผู้ใต้บังคับบัญชา เจอกันก็คุยกันเรื่องการบ้านการเมือง ก็ต่างคนต่างก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันไป

Q : ทหารเข้ามาอยู่กับพรรคเพื่อไทย อย่างน้องก็มีส่วนช่วยให้การคิดทำปฏิวัติยึดอำนาจยากขึ้น
A : อาจจะมีการประสานกันได้บ้าง ว่าความถูกต้องเป็นอย่างไร การปฏิวัติมันควรจะมีหรือไม่ มีแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ก็น่าจะคุยกัน เพราะที่ผ่านมาการปฏิวัติไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น หลังจากปฏิวัติมาประเทศก็แย่ลงเรื่อยๆ ทุกคนก็เห็น มันก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกวันที่นำเพื่อนตท.10 เข้าเพื่อไทย

Q : เชื่อว่าถ้าตท.10 มีการพูดคุยทำความเข้าใจ การปฏิวัติจะทำได้ไม่ง่ายนัก
A : คือปฏิวัติไม่ใช่ว่า ตท.10 เข้าไปคุยหรืออะไร แต่เมื่อคิดดูแล้ว ยากมันคงไม่ยากหรอก แต่ทำแล้วจะทำให้ประเทศดีได้อย่างไร หลายคนคงต้องคิด ผู้ที่คิดทำการปฏิวัติก็ต้องคิด ข้อแรกคือ 1.ปฏิวัติสำเร็จหรือไม่ 2 .ปฏิวัติแล้วจะทำยังไงให้ประเทศชาติดีขึ้น อันนี้เป็นข้อหนักหน่วงมาก เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ สมัยรสช.ก็มีการปฏิวัติ หลังจากนั้น รสช.ก็ถูกว่า ถูกอะไรจนกระทั่งแย่ไปเลย ทั้งๆที่ รสช.ทำความเสียหายน้อยกว่าคมช.ที่ทำ เพราะฉะนั้นต่อไปเมื่อถึงลูกถึงหลาน ก็จะพูดกันไปว่านี่คือผลงาน เพราะฉะนั้นทุกคนคงไม่อยากไปเป็นหัวหน้าปฏิวัติเพื่อจะทำอะไรอย่างนี้

Q : มีการโจมตีว่าในสมัยที่เป็นไทยรักไทย ก็มีนายพลหลายคนอยู่ ก็ยังช่วยต้าน...ไม่ให้ถูกปฏิวัติไม่ได้
A : ต้าน...คงต้านไม่ได้ ถ้าต้านด้วยกำลัง คงต้านไม่ได้ แต่ด้วยความคิด...คือจะว่าต้านไม่ได้ก็ไม่เชิง คือแต่ก่อนต้านไม่ได้ เพราะสถานการณ์มันสุกงอม ประชาชนไปเข้าใจผิดว่าเป็นอย่างนั้น-อย่างนี้ ไม่จงรักภักดี มีการโกงกิน มันสุกงอมไง สังเกตมั๊ยว่าพอปฏิวัติปุ๊บ มีคนเอาดอกไม้ไปให้ แต่ผมคิดว่าต่อไปคงไม่ใช่แล้ว ปฏิวัติคราวนี้คงไม่มีดอกไม้

Q : มีการดูถูกว่าเป็นทหารแก่ และไม่มีกำลังที่จะต่อสู้อะไรได้
A : เราเนี่ยเหมือนประชาชนคนหนึ่ง เข้าไปก็เป็นสมาชิกพรรค อันนี้จะทำอะไรได้ มีความรู้ความสามารถไปช่วยได้แค่ไหน มันอีกเรื่องนึง จะเป็นอะไรเราไม่คาดหวัง เราคุยกันแล้วเราไม่ได้คาดหวัง แต่ได้เข้าไปช่วยถือว่าโอเคแล้ว

Q : เหตุผลหนึ่งเพราะเพื่อนรักถูกรังแกหรือไม่ ถึงต้องเข้ามาช่วย
A : จะว่าเพื่อนถูกรังแก...แต่ว่ามันไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะว่าเห็นว่าบ้านเมืองมันไม่มีมาตรฐาน ทำคนผิดว่าถูก คนถูกว่าผิด จนกระทั่งไม่มีใครกล้ามาลงทุนเมืองไทย กฎหมายย้อนหลังก็ออกมา เราเคยพูดกับเพื่อนฝูง บางทีก็ล้อกันเล่นจะไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน บอกเฮ้ย..ไม่เอา เดี๋ยววันดีคืนดีมันก็ยึดของเรา เดี๋ยวนี้มันเกิดขึ้นกับประเทศไทยแล้ว แล้วใครจะกล้ามาลงทุน เราถึงต้องมาช่วยกันตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเพื่อนจะโดน มันก็มีส่วนที่เพื่อนจะโดน ไม่ถูกต้อง เราก็ว่ามันไม่ควรบางอย่าง เพราะทุกคนอย่าง 3 ปีที่ผ่านมา ไล่บด-ไล่บี้เขาแทบจะไม่มีชิ้นดี ก็ไม่เห็นมีลงโทษอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน เขาทำผิดมหันต์อะไรขนาดนั้น

การ ที่ว่าท่านไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์หรือสถาบัน ศาลก็ยกฟ้องไปแล้ว คือเป็นข้อกล่าวหากันทั้งนั้น แล้วถ้าเราเข้ามาก็ต้องการให้เกิดความยุติธรรมในบ้านเมือง ให้เกิดความจงรกภักดีต่อสถาบันจริงๆ เพราะเราเป็นทหารเรายึดถือตรงนี้มา ทุกวันนี้อ้างอิงสถาบันเพื่อทำลายคนอื่นเท่านั้น

Q : ตท.10 เข้ามาจะช่วยในเรื่องนี้ได้
A : ก็น่าจะมีภาพลักษณ์ตรงนี้บ้าง เพราะหลายคน...อย่างผมก็เป็นราชองครักษ์มาตั้ง 24 ปี เคยเป็นผู้บังคับกองพันสวนสนามรักษาพระองค์มา 2 ปี และ “ความจงรักภักดี” ผมก็มีมาตลอด แล้วก็หลายคน เพื่อนที่เข้ามาก็ทั้งนั้น ก็มีความจงรักภักดี

ถ้า ทางพรรคไม่มีความจงรักภักดี ผมก็คงไม่เข้ามา แล้วถ้ามันเกิดความทรยศต่อชาติ กกต.ก็ต้องยื่นมือเข้ามาแล้ว พรรคนี้ทรยศต่อชาติ ต้องมาสอบมาอะไรกัน ก็ต้องถูกดำเนินคดี ยุบพรรค ใครทำผิดคิดทรยศต่อชาติก็ต้องติดคุกติดตะราง ก็ต้องว่ากันไปแล้ว คือไม่ใช่ว่าจะกล่าวกันลอยๆอย่างนี้มันไม่ถูก

Q : การเข้ามาของตท.10 เป็นช่วงเดียวกับที่พล.อ.ชวลิต (ยงใจยุทธ สมาชิกพรรคเพื่อไทย) เข้ามา ซึ่งถือว่าเป็นการเข้ามาเสริมพลังทางการเมืองให้กับพรรคเพื่อไทยได้พอสมควร ถือว่าได้เปรียบพรรคการเมืองอื่น
A : อันนี้ก็ได้สมาชิกเพิ่มมา มันสมองเพิ่มมาบ้าง จะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ มันคงไม่แน่นอน มันคงทำอะไรให้พรรคดีขึ้นบ้าง เพราะทุกคนมีประสบการณ์ มีอะไรมา ก็อาจจะมาช่วยกันได้บ้าง แต่ว่าจะดีกว่าพรรคอื่นหรือไม่ดีกว่าเนี่ย ตอบไม่ได้

Q : การที่บิ๊กจิ๋วเดินทางไปกัมพูชา ไปพบกับนายกฯกัมพูชา แล้วมีการพูดคุยถึงคุณทักษิณ ถึงขนาดสมเด็จฮุนเซนบอกว่า เป็นเพื่อนที่ดี จะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นหรือแย่ลง
A : มันขึ้นอยู่กับการกระทำของท่านพล.อ.ชวลิต ท่านมาทำถ้าเกิดปรองดอง ความสามัคคีแล้วช่วย ก็คงน่าจะดีขึ้น แต่ถ้าใช้ความรุนแรงกันก็ไม่น่าจะดีขึ้น แต่ท่านก็บอกแล้วว่า เข้ามาจะสมานฉันท์ ถ้าเป็นแนวทางนี้ประเทศชาติก็จะดีและดีกับทุกฝ่าย ไม่เฉพาะแต่ท่านทักษิณ ประเทศชาติก็จะดี ประชาชนก็จะดีด้วย ถ้าเกิดความสมานฉันท์ปรองดองกันได้ ประเทศชาติก็จะราบรื่น

Q : ตท.10 ยังมั่นคงถึงแม้จะถูกกล่าวหาว่า “ทรยศต่อชาติ”
A : ยังมั่นคงครับ ยังยึดหลักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรายังยึดมั่นในตรงนี้ แล้วเราก็จะดูด้วยว่าพรรคเพื่อไทยเราเข้ามาเนี่ย เขามีพฤติกรรมอะไร เราก็ต้องดู แต่ก็เชื่อว่าไม่เกิดอย่างที่กล่าวหา เพราะทุกคนยังรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์...เป็นไปไม่ได้

Q : วันที่พล.อ.เปรมออกมาพูดแล้วมีบรรดาผบ.เหล่าทัพยืนอยู่ข้างหลัง มีการตีความว่าพล.อ.เปรมต้องการส่งสัญญาณบางอย่าง เหมือนเหตุการณ์ก่อนวันที่ 19 ก.ย. 2549
A : คือไม่ได้มอง เพราะวันนั้นเป็นงานส่วนรวม ทุกท่านก็ไปร่วมงาน ผมคิดเอาเองนะ แล้วก็มีบางคนเขาคุยกัน มันอาจจะเป็นการบังเอิญ พล.อ.เปรมท่านมาเป็นประธาน ท่านเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องมาส่งมาอะไรกัน มันไม่น่าเป็นสิ่งบอกเหตุอะไร น่าจะเป็นการมาส่งท่าน แล้วพอดีนักข่าวไปถามท่าน ท่านก็ตอบ ก็เลยกลายเป็นภาพว่า ยืนอยู่ด้วยกัน

Q : ไม่ได้มองว่าเป็นการบอกเป็นนัยว่า มีกำลังทหารหนุนหลังอยู่
A : อันนี้ถ้าเป็นใจผม ผมว่าเป็นการบังเอิญมากกว่า ทุกคนไปร่วมงานแล้วเกิดภาพนี้ขึ้นมา อย่างผมเป็นผบ.หน่วยเนี่ย ถ้าผู้บังคับบัญชามาร่วมงาน ผมก็ต้องเดินไปส่งอย่างนี้ มันออกมาคล้ายกับดูว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น

Q : แต่วันนั้นป๋าเปรมพูดโจมตีบิ๊กจิ๋วและพรรคเพื่อไทย โดยมีทหารอยู่ข้างหลัง
A : ผมไม่รู้ว่าทหารทราบกันมั๊ยว่า ท่านจะพูดอย่างนั้น ผมไม่ทราบ

Q : ภาพที่ออกมาส่วนตัวมองอย่างไร
A : คืออันนี้มันก็ตอบยาก เพราะอันนี้เป็นความคิดของท่าน ผมก็ไม่รู้ท่านเจตนาอะไร

พล.อ.อ.สุเมธ-พล.อ.เปรม

Q : การให้สัมภาษณ์ของป๋าเปรมวันนั้น โจมตีพรรคเพื่อไทยโดยตรง มีการพูดคุยกันอย่างไร
A : ก็ หลายคนคุยกันว่า รู้สึกมองพวกเราทรยศต่อชาติ ตอนนั้นผมยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในพรรค หลายๆคนที่มองก็เกิดความขัดแย้งว่า เขาไม่ใช่นะ ถึงได้มีการฟ้องร้องกันอยู่

Q : บางคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของเพื่อไทยเคยเป็น “กลุ่มยังเติร์ก” มาก่อน
A : แต่ก่อนเป็นยังเติร์กเพราะว่าอาวุโสยังน้อย รุ่นผมเนี่ยผมเป็นนายพลอายุ 54 นะ แล้วดูซิระยะนี้บางคนเป็นนายพล พลตรี 6 เดือน พลโท 6 เดือนเยอะแยะเลย ที่ทำกันมาในกองทัพขณะนี้ มันไม่ใช่ยังเติร์กหรอกรุ่นนั้น รุ่นผมเนี่ยขึ้นกันมาตามลำดับชั้น ไม่มีใครลัด...รวดเร็วถึงขนาดนั้น

Q : มีการตั้งข้อสังเกต การเข้ามาเพื่อไทยของพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มยังเติร์กที่เคยยึดอำนาจป๋าเปรมในช่วงเป็นนายกฯ และอาจมีพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ซึ่งเป็นยังเติร์กเหมือนกันเข้ามาร่วมงานด้วย ผสมกับ ตท.10 ที่เข้ามาจำนวนมาก จึงมีการเชื่อมโยงว่าอาจเป็นการเข้ามาต่อสู้กับป๋าเปรมโดยตรง
A : อ๋อ...ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ครับ คือมันประจวบเหมาะ พี่พัลลภท่านเข้ามากับพล.อ.ชวลิต ทางกลุ่มเตรียม 10 ก็เข้าไปในฐานะที่ได้คิดกันไว้แล้ว เข้าไปเกิดมันอยู่ไล่ๆกันพอดี เราไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่าบิ๊กจิ๋วจะเข้ามา แต่เราเนี่ยหลังจากเกษียณก็ได้รวบรวมพูดคุยกัน พูดจากันระยะหนึ่ง ได้ระยะเวลาสมควรเราก็เข้าไป

Q : แต่ภาพที่ออกมาตอนนี้ เหมือนเป็นการต่อสู้ทางอำนาจและวัดบารมีระหว่าง 2 ฝ่าย
A : กลุ่มพวกผมไม่ได้คิดตรงนี้เลย คือเข้ามากันตามวาระ ไม่ได้คิดถึงว่าจะไปวัดบารมีหรือไปร่วมกับใคร เพราะอย่างที่บอกไม่ทราบด้วยว่า ท่านพล.อ.ชวลิตจะมาในช่วงนี้ และยังไม่ทราบด้วยว่าท่านมนูญกฤตจะมาหรือไม่ ก็ยังไม่ทราบ

Q : “บิ๊กจิ๋ว” วัดบารมีกับ “ป๋าเปรม” ได้
A : ผมว่า “วัดบารมี”... คงไม่ใช่ แต่ถ้าจะช่วยกันเสริม ช่วยกันเติมทำงานเพื่อชาติ มันน่าจะได้ คือท่านพล.อ.ชวลิต ท่านก็ทำงานเพื่อชาติมาเยอะพอสมควร เพราะฉะนั้นท่านคงมาช่วยอะไรได้บ้างในส่วนการประสานติดต่อ อย่างท่านไปพบนายกฯฮุนเซน ท่านก็จะได้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขมรน่าจะดีขึ้น ท่านคงไม่อยากให้เกิดศึกสงครามอะไร ก็น่าจะดี ท่านก็บอกว่าท่านไปพม่าก็จะคุย เพราะการที่จะไปสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาล พรรคฝ่ายค้านก็เป็นได้ ผมว่าน่าจะทำให้ประเทศชาติดีขึ้น

Q : ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.เปรมถูกนำมาพูดถึงและโจมตีอย่างหนัก ทั้งที่ก่อนหน้านี้การจะพูดถึงพล.อ.เปรมในทางเสียหาย ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม มันเกิดจากอะไร
A : คือมันเป็นความคิดไง เพราะการกระทำ เพราะกระทำให้เขาคิดอย่างนั้น เขาก็ต้องคิดอย่างนั้น

Q : ที่ผ่านมาป๋าเปรมทำอย่างที่มีการกล่าวหา
A : คือเราก็ไม่รู้ไง ไม่รู้ว่าเสื้อแดงเขาคิดว่าท่านกระทำอะไรกันบ้างยังไง เขามีผลกระทบยังไง เขาถึงออกมาตอบโต้ อย่างที่ท่านพูดถึงพล.อ.ชวลิต พล.อ.ชวลิตท่านก็ต้องออกมาตอบโต้ พูดถึงพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยก็ต้องออกมาตอบโต้

คือ ปกติป๋าเนี่ย ใครๆ เขาก็เคารพ ไม่อยากจะตอบโต้อยู่แล้ว แต่เมื่อพูดจุดให้เขาเสียหาย เขาก็ต้องตอบโต้ อันนี้ความคิดของผม คือเราไม่อยากตอบโต้ท่าน เพราะท่านมีคุณงามความดีแล้วก็ได้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองมาพอสมควร แต่บางอย่างเมื่อพูดไปกระทบถึงเขา ให้เขาเสียหาย เขาก็ต้องตอบโต้

Q : ที่ผ่านมาป๋าเปรมมีการกระทำก็เลยทำให้...

A : “อาจ ไปกระทำ” หรือให้เขารู้ว่า “เขาถูกกระทำ” เขาก็ต้องตอบโต้ แล้วท่านอยู่ในฐานะผู้ใหญ่ เป็นองคมนตรี ท่านไม่ลงมายุ่ง ก็ไม่มีใครที่จะไปตอบโต้

Q : ส่วนตัวมองว่าป๋าเปรมกำลังเข้ามายุ่งกับการเมือง
A : อันนี้ก็เป็นที่รู้ๆกันอยู่ ผมก็เห็นท่านออกมาหลายครั้ง อย่างคราวนี้ก็ชัดเจน อย่างที่ท่านบอกว่ามาอยู่พรรคนี้ก็ทรยศต่อชาติ มันก็ชัดเจนแล้ว

Q : วันที่ 15 ต.ค.ที่ป๋าออกมาพูดชัดเจนมาก
A : ชัดมั๊ยละ เพราะท่านพูดให้พรรคเขาเสียหาย

Q : ถ้าป๋าเปรมลงมาเล่นกับการเมืองแบบนี้ การที่จะโดนฝ่ายตรงข้ามเล่นงานหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้
A : ก็เป็นเรื่องการยุติธรรม เมื่อเขาถูกกระทำ เขาก็ตอบโต้ เขาถูกว่าให้เสียหาย เขาก็ต้องตอบโต้ อันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติมนุษย์อยู่แล้ว

Q : ภาพที่ปรากฎออกมาชัดเจน ทหารยังรักและเคารพท่านเหมือนเดิม
A : ผมก็ยังเชื่อว่าเคารพรักอยู่ เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ในกองทัพมานาน ดูแลกันมานาน แต่ว่าในดุลยพินิจ อาจต้องมีดุลยพินิจนะ คือเคารพก็ส่วนเคารพ แต่การจะทำอะไรก็ต้องดูว่าสิ่งใดถูกต้อง ไม่ถูกต้อง เพราะผู้นำเหล่าทัพทุกท่าน ท่านก็มีความคิดของท่านว่าอะไรถูกต้อง ไม่ถูกต้อง แต่ความเคารพมันอีกเรื่องนึง อย่างผมเป็นผบ.หน่วยเนี่ย เขาเคารพผม แต่ผมสั่งเขาไปทำไม่ถูกต้อง เขาคงไม่ทำกัน

Q : แม้จะเห็นว่าป๋ายุงเกี่ยวกับการเมือง ความรู้สึกก็ยังเคารพรัก
A : ครับ ก็ท่านถือว่ามีส่วนทำคุณงามความดีให้ประเทศ แต่ส่วนที่ท่านมาว่ากล่าว เขาก็ต้องตอบโต้ไปตามธรรมดา อย่างที่ผมเรียนว่า ทำงานทุกอย่างมันต้องทำดีบ้าง ไม่ดีบ้าง มันของธรรมดา ส่วนที่ดีเราก็ยกย่อง ส่วนที่ไม่ถูกต้องเราก็ต้องตอบโต้

Q : แต่ด้วยตำแหน่ง-ฐานะ-หน้าตาในสังคมที่ทุกคนเคารพ การออกมากระทำอย่างที่คนไม่พอใจแล้ววิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม

A : คืออย่างนี้มันก็ขึ้นอยู่ที่การกระทำไง ทำสิ่งใดที่เขาเดือดร้อนหรือเขาแคลงใจ เขาก็ตอบโต้ แต่ถ้าท่านอยู่แบบผู้หลักผู้ใหญ่ทั่วๆไป ก็ไม่มีใครไปตอบโต้ ไปว่าได้ ปกติคนไทยไม่อาจเอื้อมไปแตะต้องผู้หลัก-ผู้ใหญ่อยู่แล้ว

Q : บิ๊กจิ๋วเข้ามาจะช่วยได้มาก

A : ผมคิดว่าท่านจะช่วยได้เยอะพอสมควร ในเรื่องสมานฉันท์ ผิดคิดเอาเองนะทุกคนไม่อยากให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ แต่ว่าจะคุยกันยังไง จะจบกันยังไงให้มันดีเนี่ย มันต้องมีจุดนึง

Q : บิ๊กจิ๋วเรียกได้ว่าเป็นความหวังหนึ่งในช่วงนี้
A : ก็มีส่วน

Q : เป็นความหวังสุดท้ายหรือไม่
A : อันนี้ตอบไม่ได้

Q : การที่ท่านคัมแบ็คการเมือง ทั้งที่หายไปแล้ว
A : คือท่านบอกกับพวกผม ท่านไปในอีสานก็ดี ก็มีคนอยากให้ท่านกลับมาช่วย คิดว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีคนนับถือพอสมควร น่าจะทำตรงนี้ได้ ท่านถึงเข้ามา

Q : มองว่าบิ๊กจิ๋วเป็นคนเดียวหรือไม่ ที่คุยกับป๋าเปรมได้
A : ท่านบิ๊กจิ๋ว ท่านยืนยันเสมอว่า ท่านเคารพนับถือป๋าอยู่ แต่เมื่อป๋าพูดอย่างนี้ เขาก็อาจจะต้องตอบโต้บ้างนิดหน่อย แต่ต่อไปจะคุยกันได้แค่ไหน อันนี้ผมก็ยังตอบไม่ได้

Q : ที่ผ่านมาเป็นไปได้หรือไม่ที่ป๋าเปรมไม่ยอมคุยกับคนอื่น บิ๊กจิ๋วจึงเข้ามาประสาน
A : ถ้าเข้ามา โดยป๋าอยากให้เข้ามา ป๋าคงไม่พูดอย่างนี้ คือไม่พูดรุนแรงถึงขนาดนี้ บางคนก็มองว่าบิ๊กจิ๋วเข้ามาเป็นตัวเชื่อมหรืออาจเป็นสายลับ ผมว่าไม่ใช่
พล.ท.มนัส-ทักษิณ
Q : อย่างพล.อ.จิรเดช คชรัตน์ (อดีตรองผบ.ทบ. ยุคคมช.) ก็โดนโจมตีว่าอาจเป็นสายลับ
A : คือเขาไปคิดกันเอง ผมมองดูอย่างคนที่พูดเนี่ย เขาอาจมีปัญหาส่วนตัวกันอยู่ (หมายถึงพล.ท.มนัส เปาริก ที่ออกมาต่อว่า) ผมว่าท่านเข้ามา ทุกคนเข้ามาก็ต้องพร้อมที่อยากเข้ามาช่วยพรรค แต่ที่เขาพูดอาจจะพูดด้วยความคิดส่วนตัวกันไป ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการคิดแบบนั้น...มันไม่ใช่

Q : เมื่อป๋ามีท่าทีไม่ตอบรับแนวทางที่บิ๊กจิ๋วเดินอยู่ จะยังคุยกันได้ตามแนวทางสมานฉันท์
A : คือต้องคุยหลายฝ่าย ไม่ใช่ว่าคุยกับป๋าคนเดียว คุยกับหลายฝ่าย

Q : แต่ป๋าคือผู้มีอำนาจเด็ดขาดของฝ่ายโน้น
A : บอกแล้วไง ใน กองทัพตอนนี้เขาก็ต้องคิดกันว่า “ควร-ไม่ควร” ผมว่าท่านเอง ท่านก็ต้องคิดว่าควรจะทำอะไร ยังไง เหตุการณ์มันไม่เหมือนตอนที่ถูกปฏิวัติ (19 ก.ย.2549) ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นที่จะมีเหตุผลที่จะต้องมาทำอย่างนั้น

Q : ตอนนี้คนในกองทัพเริ่มคิดแล้ว

A : ผมเชื่อ เพราะผมมีพรรคพวกลูกน้องเขาคุย เขาคิดกันอย่างนี้ บางคนที่เราเคยคุยเคยสื่อกัน

Q : ความคิดเขาเปลี่ยน
A : คือหลายคนเนี่ย “เปลี่ยน” คืออย่างแต่ก่อนมีความคิดอย่างนี้เหมือนกับว่าไม่ถูกต้อง อย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้มันเริ่มคิดไงว่าเฮ้ย...ทำบ้านเมืองได้อะไร ประชาชนได้อะไร อย่างที่ผมบอกปฏิวัติยึดได้ ครองลำบาก จะทำให้ประเทศดีเนี่ยยาก ก็ต้องคิด

Q : อย่างผบ.เหล่าทัพหรือผู้ใหญ่ในกองทัพ ต้องคิดให้มากขึ้น

A : เขามีความคิดอยู่ ทุกคนรับราชการเป็นทหารมา นึกถึงสถาบันกันอยู่ทุกคน ก็รับใช้สถาบันทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องการให้ประเทศชาติอยู่ดีมีสุข แต่บางครั้งเขาอาจไม่เข้าใจบางอย่าง หรือเหตุการณ์มันบังคับให้เขาทำเขาก็ต้องทำ

Q : ปฏิวัติที่ผ่านมา ก็เป็นเพียงการทำหน้าที่
A : เป็นการทำหน้าที่ คล้ายๆกับว่ามีคน...เขาคิดว่าอย่างนั้น มันไม่ถูกต้อง เขาก็ทำ อันนี้เป็นความคิดของเขา

Q : แต่ไม่รู้ว่าคนที่สั่งเขา...
A : ผมไม่ทราบ เพราะอย่างท่านสนธิ (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช.) ท่านบอกแล้วท่านมีอำนาจอยู่แค่นั้น นอกจากนั้น “ใครละมีอำนาจ” ผมก็ไม่ทราบ

Q : บทเรียน 19 ก.ย. 2549 สอนว่าคนในกองทัพควรเปลี่ยนความคิดได้แล้ว

A : คือมันหลายครั้งขึ้นมาแล้ว อย่างตอนรสช.ก็มีบทเรียนอยู่ แต่มาคราวนี้ก็มีบทเรียนแต่อาจจะมีเหตุการณ์บังคับ เพราะมีม็อบ มีอะไร บ้านเมืองมันเกิดวิกฤตมาส่วนหนึ่ง กองทัพก็คงจะเข้ามาทำ แต่ตอนนี้มันไม่มีเหตุการณ์อะไร

Q : ถ้าป๋าสั่งตอนนี้ก็เป็นไปได้ว่าอาจไม่ทำ

A : อันนี้ผมก็ตอบไม่ได้

Q : ถ้าบอกว่าคนในกองทัพเปลี่ยนความคิด เริ่มคิดได้ว่าควรวางตัวอย่างไร ทำอย่างไร แล้วถ้าเห็นว่าป๋าทำไม่ถูก ถ้าจะทำตามมันก็...
A : ก็ต้องคิดไง ผมว่าทุกคนต้องคิดนะครับว่า..เพราะว่าการปฏิวัติเนี่ย 1. ถ้าทำไม่สำเร็จ เป็นกบฏนะ จะเอาตัวเข้ามาเสี่ยงหรือไม่ 2.ปฏิวัติแล้วประเทศชาติได้อะไร 3.เมื่อต่อไปเกษียณไป จะอยู่ยังไง คนก็จะตราหน้าว่าอย่างนั้น-อย่างนี้ ทุกวันนี้พวกคมช.ก็เริ่มลำบากลำบนกันแล้ว อย่างผมถ้าให้ผมปฏิวัติ...ผมก็ไม่เอา เพราะเรื่องอะไรผมต้องเอาตัวไปเสี่ยงขนาดนั้น เหตุการณ์ก็ไม่มีอะไร

Q : จะแก้ภาพพจน์ที่ออกมาอย่างไร เพราะคนที่เข้ามาฝั่งเพื่อไทย โดยเฉพาะทหารก็เหมือนกับอยู่คนละฝ่ายกับป๋าเปรมไปโดยปริยาย
A : คือเราไม่ได้คิดไง ไม่ได้คิดว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือเป็นอะไรกับป๋า กับป๋าเราก็เคารพท่าน เพราะท่านเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เป็นมาตั้งแต่เราเป็นเด็กๆด้วยซ้ำไป แต่เราเข้ามาเราต้องการมาช่วยประเทศชาติ ช่วยพรรคเพื่อไทย เพราะคิดว่าอุดมการณ์ของพรรค หรือนโยบายพรรคมันต้องใจเรา โอเคเราก็อยากมา ไม่ได้คิดไปเป็นศัตรูกับใคร

Q : แต่มีตท.10 บางคนพูดว่ามี “อำนาจนอกระบบ” กำลังจะหมดอายุขัย
A : อันนี้เป็นความคิดส่วนบุคคลแล้ว คือผมคุยกันแล้วว่า ต่อไปนี้การสัมภาษณ์ต่อไปนี้จะต้องคุยกันในกลุ่ม การให้สัมภาษณ์จะเป็นอย่างไร เพราะอันนี้เป็นในนามกลุ่มแล้ว เป็นในนามส่วนตัวมากไม่ได้แล้ว เพื่อนผมอาจจะพูดในนามส่วนตัว เพราะยังไม่ได้พูดกันเลย ยังไม่เจอกัน

Q : การที่เป็นทหารแล้วพูดอะไรตรงๆ มันก็คือความจริง
A : เข้าใจพูดตามตรงเนี่ยจริง แต่ว่าพูดตรงพูดอะไรต้องมีจังหวะ ไม่ไปทำให้ใครเขาเสียหาย ไม่ไปทำให้ใครเขาโกรธแค้น พูดความจริงได้พูดความจริงต้องให้คนเขายอมรับว่าเป็นความจริง
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

Q : “ผู้มีบารมีนอกระบบ” มีจริง
A : อัน นี้ก็รู้ๆกันอยู่ การปฏิวัติ...อย่างท่านสนธิ ท่านก็บอกว่า ท่านปฏิวัติมา ท่านมีอำนาจอยู่ 14 วัน แล้วหลังจากนั้นใครมีอำนาจผมก็ไม่รู้ ท่านบอกมีอำนาจอยู่ 14 วัน หลังจากนั้นท่านไม่มีอำนาจ ผมก็ไม่รู้ว่าใครมีอำนาจ

Q : การพูดถึง “อายุขัย” เหมือนสื่อว่าการต่อสู้ต่อไปนี้จะเข้มข้นมากขึ้น

A : คืออันนี้ผมว่าถ้าจะต่อสู้กัน คงไม่ใช่หรอก ทุกคนรู้แล้วว่าการต่อสู้ทำให้ประเทศเสียหาย ผมว่าน่าจะยุติตรงนี้ได้ น่าจะต้องคุยกันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ใครทำอะไรมา ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ก็ควรจะยุติ หันมาเสริมสร้างประเทศชาติให้ดี

“ทุก วันนี้ระดับเราๆ ไม่เป็นไร พอมีข้าว พรุ่งนี้พอจะรู้ว่าจะทานอะไร ถึงสิ้นเดือนก็มีเงินเดือน แต่อีกหลายคนเขาไม่มีเงิน เขาจะทำไง เขาจะอยู่ได้ยังไง นับวันจะมากขึ้น ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ คนตกงาน คนค้าขายไม่มีกำไร กลับไปอยู่บ้านนอก ต่อไปถ้าเขาไม่มีอะไรทานจะทำยังไง เนี่ยต้องนึกถึงคนพวกนี้ ถ้ามามัวทะเลาะกันไป ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย สักวันหนึ่งพวกที่เขาไม่มีอะไรทาน เขาจะต้องลุกฮือขึ้นมา เมื่อนั้นบ้านเมืองจะยุ่ง วุ่นวาย คือผมเป็นห่วงตรงนี้”

Q : ตท.10 ถ้าจะคุยกับทหารเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์คิดว่าทำได้
A : ก็คิดว่าทำได้ ในใจผมเองคิดว่าทุกคนเห็นแล้วว่าชาติบ้านเมืองเป็นอย่างไร จะปล่อยให้มันถึงจุดนั้นหรือ นึกออกมั๊ยถ้าคนไม่มีจะกินเนี่ย ต้องสู้ ดิ้นรนทุกวิถีทาง แล้วถ้ามันเยอะๆจะทำยังไง แล้วถ้าปล่อยอย่างทุกวันนี้ มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะมันเริ่มถอยๆๆ ไปเรื่อยจนสุดกู่แล้ว คนจนสุดกู่แล้ว ไม่มีอะไรจะกินแล้ว มันก็ต้องสู้ สู้ก็จะเกิดปัญหาการสู้รบกัน อันนี้คิดว่าคนระดับผู้ใหญ่ทั้งการเมืองก็ดี ฝ่ายทหารก็ดี น่าจะคิดถึงจุดนี้ได้ น่าควรจะหาจุดยุติกัน

Q : 2-3 ปีที่ผ่านมาบทบาททหารเป็นคนเข้ามายุติปัญหาสถานการณ์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและทางการเมือง ตท. 10 จะมีส่วนเข้าไประงับ ยับยั้งไม่ให้มีการใช้กำลังอย่างที่ผ่านมาได้
A : อย่างตท.10 ที่ยังมีหน้าที่อยู่ในกองทัพก็ดูหน้าที่ อย่างผมเข้ามาอยู่ในการเมืองก็ต้องดูช่วยในเรื่องการเมือง มาดูแล ก็ไม่อยากให้เกิด ทำยังไงไม่ให้เกิด ควรยุติปัญหา ทำยังไงก็ควรมาช่วยกันคิดดู กระทบกระทั่งกันยังไงก็ต้องมาเจรจากัน คือก็อาจเป็นตัวเชื่อมให้ได้บ้าง

Q : สถานการณ์ตอนนี้มันถึงจุดที่ทหารจะออกมาใช้กำลังเพื่อยุติปัญหาอีก
A : อันนี้เราก็บอกไม่ได้ เพราะคราวที่แล้วก็พูดกันเสมอว่าไม่มีการปฏิวัติ เพราะทำให้บ้านเมืองเสียหาย ก็ยังมีคนทำ แล้วมันก็เสียหายจริงๆ อันนี้เราก็ตอบการันตีไม่ได้

Q : แต่เสื้อแดงประกาศออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลปลายเดือนพ.ย.นี้
A : ก็คงออกมามีส่วนนึง หรือไปถึงแค่ไหน ผมยังตอบไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ที่เขาต้องการอะไร ประชาชนลำบากกันจริงๆแล้ว รัฐบาลมีจุดให้เขาโจมตีอะไรบ้าง ที่เขาพูดกันตอนนี้รัฐบาลก็มีจุดให้เขาโจมตีได้หลายกระทรวง มันเละไปหมดแล้ว

Q : ยังเชื่อว่าถ้าเสื้อแดงออกมาจะควบคุมสถานการณ์ได้

A : ผมก็ตอบไม่ได้ ว่าจะออกมาได้ขนาดไหน ขึ้นอยู่กับความทุกข์ยากของคน แต่เขาทุกข์ยากมาก เขาทนไม่ไหว เขาก็ออกมามาก การที่จะไปควบคุมจะควบคุมกันได้มากแค่ไหน

Q : ดูจากการทำงานของรัฐบาลตอนนี้จะควบคุมสถานการณ์ได้

A : ดูจากการทำงานแล้วมีเหตุการณ์ไปเรื่อยอย่างนี้ คือประชาชนเดือดร้อน รัฐบาลก็ยังนิ่งเฉย ไม่ดูดาย มีการโกงกินกันไปเรื่อยมันก็ลำบาก

Q : มองบทบาทของพล.อ.อนุพงษ์ (เผ่าจินดา ผบ.ทบ.) อย่างไร เพราะที่ผ่านมาการวางตัวของพล.อ.อนุพงษ์ถือว่า “เป็นต่อ” ในทุกสถานการณ์
A : ผมเนี่ยเป็นเพื่อนกับท่านมานาน แล้วก็คิดว่า ท่าน เป็นคนมีความคิดความอ่านดีมาก เพราะฉะนั้นท่านต้องคิด ท่านต้องคิด...ท่านต้องวางตัว เป็นเพื่อนที่มีความคิดความอ่าน มีความจงรักภักดี ถือว่าท่านคงต้องคิดถึงประเทศชาติ

Q : ถ้าจะทำอะไรสักอย่าง
A : อืม

Q : ทั้งที่ท่านเองก็มีกำลังทหารในมือ
A : มีกำลังแล้วอย่างที่ผมเรียนไงว่า ยึดได้แต่ครองเนี่ยลำบาก สมมติว่าปฏิวัติ ท่านจะให้ใครเป็นนายกฯ ให้ใครทำอะไร รัฐบาลจะทำอะไร ประเทศชาติก็ย่ำแย่ เงินก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แล้วจะทำยังไงให้ประเทศชาติดี นี่ไงยึดคือยึดได้ ครองลำบากไง การครองให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข รัฐบาลจะทำยังไง ใครจะเป็นละนายกฯ ใครจะเป็นรัฐบาลละ รัฐบาลจะทำยังไงต่อไปละ ปฏิวัติตู้ม...ต่างประเทศเขาก็ไม่เอาแล้วทีนึง ปฏิวัติอีกที...ยิ่งหนักไปกันใหญ่ แล้วถ้าเกิดจนกระทั่งประชาชนไม่มีอะไรกิน จะทำยังไง มันต้องคิด ต้องคิด

Q : เท่าที่รู้จักกันมาบุคลิกของพล.อ.อนุพงษ์เป็นอย่างไร
A : ท่านสุขุมรอบคอบพอสมควรนะ เป็นนักรบที่สุขุมรอบคอบ

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

Q : ถ้ารับคำสั่งหรืออะไรมาปฏิบัติท่านต้องคิดแล้ว
A : ต้องคิด...ผมเชื่อว่าท่านต้องคิด

Q : เท่าที่คุยกันความรู้สึกของพล.อ.อนุพงษ์เป็นอย่างไร
A : คือไม่ได้คุยกันบ่อย เจอกันก็คุยธรรมดา ถามสารทุกข์สุขดิบกันธรรมดา แต่ไม่คุยเรื่องการเมืองกัน เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ เราก็ไม่อยากไปคุยกับท่านในเรื่องการเมืองเพราะจะทำให้ลำบากใจ เจอกันก็ถามสารทุกข์สุขดิบกัน กินเหล้ากัน คุยกัน เจอกันงานเลี้ยงรุ่นก็เป็นธรรมชาติ

Q : บทบาทของพล.อ.อนุพงษ์ที่ผ่านมายังไม่เสีย
A : คือผมเข้าใจท่าน

Q : แม้แต่มีช่วงหนึ่งที่วางบทบาทจนถูกกล่าวหาว่า “เลือกสี”
A : ก็ ใช่ เพราะท่านนี่รู้ไง ผมคิดว่าท่านมีความคิดความอ่านดี ท่านเรียนวปอ. ท่านเป็นคนเขียนยุทธศาสตร์ชาติเอง ท่านมีความรู้ความสามารถ ผมจึงเชื่อไงว่าการทำปฏิวัติไม่ใช่ของง่าย แล้วถ้าให้ท่านเป็นผู้นำท่านคงไม่ทำ

Q : ที่ผ่านมามองว่าวางตัวได้ถูกต้องเหมาะสมแล้ว

A : ผมว่าวางตัวได้ถูกต้อง กลางๆ แต่คงต้องทำงานกับรัฐบาลแน่ เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาเขา แต่ถ้าให้เขาทำนอกลู่นอกทาง เขาคงต้องคิด
..........................................
สัมภาษณ์โดย "ประสิทธิ์ชัย คำบาง"
ผู้สื่อข่าวไทยอินไซเดอร์

ยุ่งแล้ว.."สตช.-นายกฯ" ไม่มีอำนาจถอดยศ "ทักษิณ" เพราะอำนาจดังกล่าวเป็นของพระมหากษัตริย์

ทีมทนายแถลงการณ์โต้ถอดยศ"แม้ว" ชี้เป็นอำนาจพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่ "สตช.-นายกฯ"


ผู้ สื่อข่าวรายงานว่านายพิชิต ชื่นบาน อดีตทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในคดีที่ดินรัชดา ได้เผยแพร่แถลงการณ์ เรื่อง “ถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์”ของพ.ต.ท.ทักษิณ ลงวันที่ 28 ตุลาคมโดยมีเนื้อหาดังนี้



ตามที่ปรากฎเป็น ข่าวว่ารัฐบาล โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหาแนวทางเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุ ญาตถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการตำรวจ ซึ่งกรณีนี้น่าจะมุ่งหมายเพื่อดำเนินการถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความ เห็นว่า ถ้าข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ 1(2) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547และย่อมอยู่ในเหตุตามข้อ 7(2) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548



คณะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตรวจสอบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่า กรณีนี้ยังไม่สามารถ นำมาเป็นเหตุที่สมควรโดยชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในอันที่สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี จะอาศัยเป็นเหตุให้มีการถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ โดยมีเหตุผลในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังนี้


(1) ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯในขณะนี้ คือ ได้มีประชาชนจำนวนหลายล้านคนเข้าชื่อจัดทำฎีกาทูลเกล้าฯต่อพระมหากษัตริย์ใน การขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตามความหมายในการขอพระราชทานอภัยโทษ หมายถึง “การยกโทษทางอาญา เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 191 ซึ่งพระราชอำนาจในการยกโทษทางอาญาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ และมีความเป็นอิสระเด็ดขาด


ดังนั้นกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จึงเป็นกรณีที่อยู่ในระยะเวลาที่รัฐบาลมีหน้าที่จัดทำความเห็นถวายรายงานต่อ พระมหากษัตริย์ในเรื่อง การขอพระราชทานอภัยโทษให้เสร็จสิ้นกระบวนการเสียก่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอาศัยเหตุตามคำพิพากษาถึงที่สุดที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณฯ มาดำเนินการเพื่อถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ซึ่งจะเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้ทรงมีพระบรม ราชวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว


(2) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 11 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์” และมาตรา 192 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์”


การถอดถอน ฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหา กษัตริย์โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 191 และ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ตามมาตรา 192 อีกทั้งรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติว่า พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่อง ราชอิสริยาภรณ์ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายใด จึงถือเป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะของพระมหากษัตริย์ ที่จะประกาศเป็นพระราชบรมราชโองการ


ดังนั้น ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ซึ่งอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 28 และระเบียบสำนักนายกรัฐนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 ถือเป็นระเบียบที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ต้องห้ามตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เนื่องจากระเบียบดังกล่าวไปกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไข การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์


สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ไม่มีหน้าที่ในอันที่จะถอดยศหรือริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ คงมีหน้าที่เพียงถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ว่ามีข้อเท็จจริงใดที่เกิดขึ้น กับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เท่านั้น และการดำเนินการดังกล่าวต้องเป็นไปตาม มาตรา 3 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ต้องยึด “ตามหลักนิติธรรม” และ คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และหลักความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 , 31


(3) ก่อนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมิได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลี พระบาทต่อพระมหากษัตริย์เพื่อให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชา นุญาตในการออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจดังเช่น เดียวกันกับการที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่า ละอองธุลีพระบาทในอันที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตใน การออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548


ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการในเรื่อง “ถอดยศ” ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ แต่อย่างใด เพราะจะเป็นก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และไม่อาจจะอ้างว่าระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(4) มาตรา 28 และมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ได้ เพราะ อำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่อาจขัดหรือแย้งกับพระราชอำนาจของพระมหา กษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 192


(4) โดยข้อเท็จจริงการดำเนินการเพื่อถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ในการขอถอดยศ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มิใช่เป็นการบังคับว่าต้องทำทุกเรื่อง ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผ่านมามีข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือนจำนวนมากที่ อยู่ในเงื่อนไขของระเบียบทั้งสองฉบับดังกล่าว แต่ก็ปรากฎว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการเพื่อขอถอดยศตำรวจมีน้อยราย มาก รวมถึงการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการเหล่านั้นด้วย กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พฤติการณ์ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก มิใช่เป็นเรื่องของการกระทำโดยตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณฯเองและมิใช่เป็นเรื่องของการทุจริตหรือการประพฤติชั่วร้ายแรง ใดๆ รัฐบาลกลับเลือกปฏิบัติที่จะดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เพื่อมุ่งหวังทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ โดยเฉพาะ กรณีจึงเห็นเจตนาของรัฐบาลโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณและนายกรัฐมนตรีว่าต้องการใช้ระเบียบดังกล่าวเป็นเครื่องมือ ทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณฯในทางการเมืองเท่านั้น

///////////////////

นายกทักษิณ ชินวัตร

เครื่องราชที่ได้รับดังนี้

เครื่อง ราช ตั้งแต่รับราชการ ยศ ร้อยตำรวตรี จน ลาออก แล้ว รับเครื่องราชสูงสุด ปี 2545 พร้อมนายกสมัคร สุนทรเวช (ทจว .ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พ.ศ. 2517 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย (บ.ม.)
พ.ศ. 2519 จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย (จ.ม.)
พ.ศ. 2523 จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)
พ.ศ. 2528 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
พ.ศ. 2537 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
พ.ศ. 2538 มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
พ.ศ. 2539 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
พ.ศ. 2544 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ (ป.ภ.)
พ.ศ. 2545 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.)
-------------------------------------------------


2009 The Most Blessed Order Of Setia Negara Brunei ชั้นหนึ่ง (P.S.N.B)
รางวัลที่ได้รับ
Outstanding Criminal Justice Alumnus Awards จาก Criminal Justice Center, มหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตท (พ.ศ. 2539)
Distinguished Alumni Award จากมหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตท (5 ตุลาคม พ.ศ. 2539)
1 ใน 3 คนไทยดีเด่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างประเทศไทย และฟิลิปปินส์ จากสถานทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย (พ.ศ. 2538)
บุคคลดีเด่นผู้พัฒนาโทรคมนาคม เพื่อสังคมของประเทศไทย ประจำปี 2536 จากสมาคมโทรคมนาคม แห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2537)
1 ใน 12 นักธุรกิจผู้นำของเอเชีย ได้รับยกย่องจากหนังสือพิมพ์ Singapore Business Times (พ.ศ. 2537)
Asian CEO of the Year จาก นิตยสาร Financial World (พ.ศ. 2537)
รับพระราชทาน ปริญญาวารสารศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ. 2537)
ทุน Lee Kuan Yew Exchange Fellowship จากประเทศสิงคโปร์ คนไทยคนแรก และเป็นบุคคลที่ 3 ที่ได้รับทุน (พ.ศ. 2537)
"1992 Asean Business Man of the Year" จาก Asean Institute ประเทศอินโดนีเซีย (พ.ศ. 2535)
"รางวัลเกียรติยศจักรดาว" ด้านพัฒนาเศรษฐกิจจากคณะกรรมการมูลนิธิโรงเรียนเตรียมทหาร (พ.ศ. 2535)
----------------------------------------------------------------------------------------------
การศึกษา
พ. ต.ท.ดร.ทักษิณ จบการศึกษาจากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2512) และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 (พ.ศ. 2516) โดยสอบได้คะแนนเป็นที่หนึ่งของรุ่น[7] มีฉายาที่ได้รับจากสื่อมวลชนว่า “แม้ว” เนื่องจากเป็นฉายาที่เพื่อนร่วมรุ่น โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 (ตท.10) ตั้งให้

ต่อมา พ.ต.ท.ดร.ทักษิณได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท โดยได้รับทุน ก.พ. ศึกษาต่อสาขากระบวนการยุติธรรม ทีมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2518 และได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ในสาขาเดียวกัน ที่ มหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตต ได้รับดุษฎีบัณฑิตในปี พ.ศ. 2521

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษแห่งมหาวิทยาลัยทากุโชกุ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น[ต้องการแหล่งอ้างอิง]

การรับราชการและธุรกิจ
พ. ต.ท.ดร.ทักษิณได้เริ่มทำงาน โดยเป็นหัวหน้าแผนกแผน 6 กองวิจัยและวางแผน กองบัญชาการตำรวจนครบาล รองผู้อำนวยการศูนย์ประมวลข่าวสาร กองบัญชาการตำรวจนครบาล และอาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตามลำดับ
-----------------------------------------------------------------------------------------
ยังไม่รวมเครื่องราชที่กษัติรย์ต่างประเทศมอบให้

///////////////////////////////

วันเสาร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ด่วน! อาเซียนซัมมิทเจอป่วนหนัก พรก.มั่นคง เอาไม่อยู่

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตำแหน่งประธานอาเซียน ที่นึกว่าใครเป็นก็ได้ ทำท่าว่าจะมีอาถรรพ์ซะแล้ว เมื่อคนที่มาสวมรอยดันบุญไม่ถึง จะหยิบจะจับอะไรมันเลยมีปัญหาไปซะหมด ขนาดว่าเตรียมการกันมาอย่างดี ยังให้มีอันเป็นไป ต้องป่วนกันไม่เสร็จ

อย่างคราวที่แล้วก็เจอจอม เนรคุณอย่างเนรวิน พาพวกเสื้อน้ำเงิน ไปดักตีเสื้อแดงจนงานกร่อย เล่นเอาที่ประชุมถึงกับวงแตก เปิดตูดเผ่นแน่บ อย่างกับผึ้งแตกรัง ป่านนี้ยังเคืองท่านประธานไม่หายว่า

แหม..ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน มันยังทิ้งกันได้ลงคอ

มา ครั้งนี้กะว่ายังไงก็กินนิ่มแน่ๆ เพราะเตรียมกองทหารไว้เต็มอัตราศึก พร้อมอาวุธหนักครบมือ ซ้ำมีร่างประกาศพรก.มั่นคงเอาไว้รอเสร็จ ขนาดนั้น ยังไม่วายเจอป่วนเข้าอีกจนได้

แถมคราวนี้ยังแสบหนักขึ้นไปอีกหลาย กิโลขีด เพราะมันป่วนจากภายใน โดยแก๊งค์ออฟโฟร์ ที่เกิดเฮี้ยนขึ้นมา อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ต่อให้พ่อพรก.ยังยากที่จะเอาอยู่

เมื่อจู่ๆผู้นำ 4 ประเทศ ก็มาไม่ทันเปิดงานมันซะดื้อๆ ด้วยข้ออ้างสั้นๆง่ายๆว่า ตู-ม่าย-ว่าง!

แล้ว แก๊งค์ที่ว่าก็บิ๊กเนมกันทั้งนั้น นำทีมโดยบิ๊กบัง ประธานาธิบดีสุสิโล่ บัมบัง ยุดโดโยโน่ แห่งอินโดนีเซีย พร้อมด้วยคู่หูคู่ฮาอย่าง นายกรัฐมนตรีดาโต๊ะ ซรี โมฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน อับดุล ราซัค แห่งมาเลเซีย

ผสมโรงโดยประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัลป์ อาร์โรโย่ แห่งฟิลิปปินส์ และที่ขาดไม่ได้เป็นอันขาด คือสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน

ว่ากันว่า รายหลังนี้ ตั้งใจมาป่วนโดยเฉพาะ

แต่ ที่ไม่คาดไม่ฝันว่าจะทำกันได้ คือสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาเลาะห์ แห่งบรูไนดารุสซาลาม ข่าวว่าทรงเมินโรงแรมที่ประทับ ซึ่งรัฐบาลไทยจัดให้อย่างไม่สมพระเกียรติ แล้วเสด็จไปประทับที่บ้านรับรองของน้าแม้ว

หลังจากนั้นก็ทรงประชวร ไม่เสด็จมาร่วมเปิดงาน ซะงั้น

หมด กัน..ชื่อเสียงประเทศชาติป่นปี้ ยังไม่เท่าอดชักรูปหมู่ ซึ่งมาร์คหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ ว่าจะเอาไปประดับหอแต๋วแตก ให้เลื่องลือกันไปว่า มาร์คหล่อที่สุดในอาเซียน

งานนี้ ต้องเรียกว่าขาป่วนเขามีระดับ ถึงได้เล่นซะงานกร่อยตั้งแต่ยังไม่เปิดด้วยซ้ำ มิน่าล่ะ เสื้อแดงถึงได้ทำเป็นใจดี ส่งพี่กี้ร์ไปยื่นหนังสือสนับสนุนการประชุม แล้วกลับบ้านไปนอนเกาพุงเฉย

และที่ทำเอาคอการเมืองถึงกับซี้ดปาก อย่างกับฟาดตำไทยใส่พริก 7 เม็ด ก็คือลีลาพญามังกรอย่างพ่อใหญ่จิ๋ว เมื่อแตะมือกับพญานาคอย่างฮุน เซน ก็เล่นเอางูดินอย่างมาร์ค ถึงกับดิ้นพราดๆ อย่างกับไส้เดือนถูกขี้เถ้าร้อนๆ

ถ้าแค่นี้ถือว่าฮาแล้ว แสดงว่ารู้ไม่จริง ต้องติดตามตอนต่อไป แล้วจะรู้ว่า ยังฮาได้อีก

เมื่อฮุนเซนไปกระซิบกระซาบข้างหูลุงจิ๋วว่า ได้เตรียมที่พักอย่างดีไว้ให้เพื่อนแม้ว จะมาเมื่อไหร่ก็เวลคัมเสมอ

มีหรือที่อินทรีการเมืองระดับนั้นจะไม่รู้ว่า พ่อใหญ่แกปากสว่างจะตายไป ขนาดป๋าไม่ให้เข้าไปลาบวช แกยังเอามาปูดซะเสียหมาหมด

แล้วลุงจิ๋วก็ไม่ทำให้ลูกหลานต้องผิดหวัง เมื่อแกเอาคำพูดของฮุนเซนมาป่าวประกาศซะดังลั่น เล่นเอาแมลงสาบถึงกับผีเข้ากันยกก๊วน

ให้มันรู้กันไปว่า เมื่อพ่อใหญ่จิ๋วพูดจารู้เรื่องขึ้นมา อะไรก็เอาแกไม่อยู่

แล้ว เราก็ได้เห็นลีลาการเมืองระดับฮุนเซน เมื่อเขาปล่อยของผ่านลุงจิ๋ว แล้วยังตามมาย้ำหัวตะปูที่กรุงเทพฯ ยืมปากผู้สื่อข่าวนับพันที่มารอทำข่าวการประชุม ให้มันดังก้องไปทั้งโลก กล้าๆแทงเต็งไปเต็มๆที่ฝั่งเสื้อแดง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยไม่เห็นหัวใครอยู่ในสายตา

ถือเป็นการลงทุนครั้งเดียว แต่กินยาวไปได้ชั่วลูกชั่วหลาน

ด้วย คิวเพื่อนช่วยเพื่อน ซื้อใจกันล่วงหน้า นอกจากยืนยันให้พักพิงแล้ว ยังจะตั้งเพื่อนแม้วเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจอีกต่างหาก ถ้าใครยังขืนข้องใจ จะลากเรื่องที่เพื่อนแม้วถูกรัฐประหาร เข้าไปพูดในที่ประชุม เหมือนกรณีออง ซาน ซูจี ซะให้เข็ด

เจอกับดักเข้าไปเต็มเปา แทนที่จะรู้ตัว ประธานอาเซี่ยนเด็กดื้อของเรา กลับแสดงอาการฮึดฮัดโดดเกาะโพเดียม ลอยหน้าลอยตาเหน็บกลับไปหลายดอก ทั้งๆที่เรื่องน่าอายอย่างนี้ น่าจะโบ้ยไปให้เทพทุย เขารับเหมาโชว์โง่แต่เพียงผู้เดียว ดูจะเข้าท่ากว่า

คงกลัวว่าจะสวนกลับไม่ได้อย่างใจ เลยทำให้ถลำลึก แสดงวุฒิภาวะออกมา ให้ชาวโลกได้เห็นกันจะๆ

เจอมวยเชิงสูงระดับอัคคมหาเสนาบดีเดโชอย่างฮุนเซน เล่นเอาเอกอัครมหาซื่อบื้อของเรา ถึงกับเข้าป่า ออกทะเล กู่ไม่กลับกันเลยทีเดียว

เป็น อันว่า ถึงจะจัดการประชุมได้ แต่กลับต้องมาเสียหน้าหนักเข้าไปอีก เจอเข้าไปไม้นี้ คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างมาร์ค แทบจะคลั่งซะให้ได้ อยากสั่งกองทัพลุยถั่วเขรให้รู้แล้วรู้รอด ก็ไม่มีอำนาจ

จะยืมมือ ป๊อกเด้ง ก็กลัวใจมันจริงๆ รู้ๆกันอยู่ว่าขานั้น เห็นงานเป็นโดดหนี เห็นหมีเป็นโดดใส่ นอกจากจะไม่จัดให้แล้ว เผลอๆมันจะไปตั้งก๊วนออกทีวีกับสรยุทธ แล้วประกาศกร้าวว่า ถ้าเป็นผม ผมลาออกไปแล้ว

อะไรไม่เจ็บปวดเท่า การประชุมอาเซียนซัมมิท กลายเป็นทักษิณซัมมิทไปซะฉิบ อุตส่าห์หมายมั่นปั้นมือว่าจะแจ้งเกิดในงานนี้ ดันมาโดนทักษิณแย่งซีนไปซะได้ ทั้งๆที่จะว่าไปแล้ว ขานั้นก็ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไร ให้เป็นเรื่องเป็นราว

ยังขุดหาเพชรงกๆอยู่ที่อาฟริกาด้วยซ้ำไป

วโรทาห์: 24 ต.ค. 52

วันศุกร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

กนกปั่นหุ้นคุก 2 ปีไม่พอ กฎหมายชี้ต้องโดนเฉดหัวด้วย รู้แกวส่งเมียเป็นนอมินี จี้กลต.เร่งฟัน

ยิ่งสาวยิ่งโฉ่กรณีกนกใช้ทีวี-วิทยุเนชั่นปั่นหุ้นน้องใหม่เครือสุทธิชัยหยุ่น กลางอากาศ ชวนคนจองซื้อบอกใครจองจะ "รวยเละ รวยไม่รู้เรื่อง" ทั้งที่ให้เมียเป็นนอมินีนั่งเป็นกรรมการบริษัท ขณะที่กนกเองก็มีตำแหน่งผู้บริหาร แต่ใช้สถานะสื่อคนเล่าข่าวไปตีปี๊บโฆษณาเกินจริง เผยผิด พรบ. หลักทรัพย์โทษจำคุก 2 ปี และต้องโดนเฉดหัวออกจากตำแหน่งผู้บริหารบริษัทด้วย แต่ยุคนี้ซี้มาร์คเป็นใหญ่เพราะเป็นกองเชียร์รายหลัก หากไม่อยากให้ลอยนวล ขอเชิญร้องเรียน กลต. ทั้งสายด่วน และออนไลน์ให้รู้ว่าบ้านเมืองนี้ยังปกครอง ด้วยกฎหมายอยู่อีกหรือไม่?


แฉกนกทั้งผิดกฎหมายโทษถึงคุก 2 ปี ทั้งทำตัวน่าเกลียด

หลังจากเมื่อวานนี้ไทยอีนิวส์ได้นำเสนอข่าวนายกนก รัตน์วงศ์สกุล พูดโฆษณาชี้ชวนให้คนซื้อหุ้นน้องใหม่เครือเนชั่น คือบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC ในลักษณะ "เกินจริง" ว่าใครจองซื้อหุ้นตัวนี้ "แค่ปันผลก็รวยไม่รู้เท่าไหร่ แล้ว รวยเละ รวยไม่รู้เรื่้อง" ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจฝ่าฝืนต่อกฎหมา
ย พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตามที่รายงานไปแล้วนั้น


เมื่อตรวจสอบจากเวบไซต์ของ NBC ก็ยังพบว่า นายกนกยังมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารของ NBC ในตำแหน่ง ผู้อำนวยการส่วนงานผู้ประกาศข่าว (ดู ลิ้งค์) และนางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล ภรรยานายกนก ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัท (ดูลิ้งค์) และยังเป็นกรรมการบริหารบริษัทอ้ีีกตำแหน่งหนึ่งด้วย (ดูลิ้งค์)

ทั้งนี้ NBC เจ้าของเนชั่นทีวี และวิทยุเนชั่นเรดิโอ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI จำนวน 65 ล้านหุ้น เสนอขายราคา 2.90 บาทต่อหุ้น โดยจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2552 นี้ แต่แล้วก็เกิดปัญหาหมิ่นเหม่การกระทำเข้าข่ายอาจผิดกฎหมาย พ.ร.บ. หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ขึ้น

เนื่องจากช่วงสายวานนี้ (21ต.ค.) ในรายการ "เก็บ ตกจากเนชั่น" ทางเนชั่นทีวี และวิทยุเครือเนชั่น ช่วงเวลาราว 09.10-09.15 น. ดำเนินรายการโดยนายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญไพบูลย์ นั้น หลังจากเล่าข่าวเรื่องการทุบหุ้น และโยงไปว่าอาจเกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรแล้ว นายกนกก็ได้โฆษณาชี้ชวนให้คนซื้อหุ้นจอง NBC โดยชี้นำว่า "ดีมากครับหุ้น NBC คิดดูว่าขนาดคุณธีระก็ยังจองซื้อเป็นแสนหุ้น ผมก็จองซื้อเป็นแสนหุ้น ราคาก็แค่ 2.90 บาทต่อหุ้น แค่ 2.90 บาทครับ แล้วคิดดูว่าแค่ปันผลที่จะได้รับก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว จองซื้อไว้ก็รวยเละ รวยไม่รู้เรื่องครับ" โดยนายกนกย้ำเรื่องนี้หลายครั้ง

ท่านสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่วิทยุเนชั่น (คลิ้ก) หรือเนชั่นทีวี (คลิ้ก)

ทั้งที่นายกนกไม่ได้เป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่สามารถจะระบุคุณค่าหรือราคา ที่เหมาะสม หรือแนะนำการลงทุนใดๆ ได้ หรือถึงเป็นนักวิเคราะห์ที่ได้รับอนุญาตให้แนะนำการซื้อขายหุ้นได้ ก็ต้องบอกถึงความเสี่ยงต่างๆ ประกอบด้วย โดยที่ ก.ล.ต. มักกำหนดให้แจ้งผู้ลงทุนว่า "การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนพึงศึกษาจากรายละเอียดในหนังสือชี้ชวน และใช้วิจารณญาณในการลงทุน"

ที่สำคัญนายกนกกระทำลงไปดังกล่าวนี้ ยังเสี่ยงเข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมายด้วย ทั้งนี้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หมวด 8 ว่าด้วยการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ กำหนดไว้ดังนี้

-มาตรา 238 ห้ามมิให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือผู้มีส่วนได้เสียในหลักทรัพย์บอกกล่าว ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความใดโดยเจตนาให้ผู้อื่นสำคัญผิดในข้อเท็จจริง เกี่ยวกับฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานหรือราคาซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหรือนิติบุคคลที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์

-มาตรา 239 ห้ามมิให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือผู้มีส่วนได้เสียในหลักทรัพย์ แพร่ข่าวเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใดๆ อันอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง เว้นแต่จะเป็นการแพร่ข่าวในข้อเท็จจริงที่ได้แจ้งไว้กับตลาดหลักทรัพย์แล้ว

-มาตรา 240 ห้ามมิให้ผู้ใดแพร่ข่าวอันเป็นความเท็จให้เลื่องลือจนอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง

ทั้งนี้ในมาตรา 296ร ะบุว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 238 มาตรา 239 มาตรา 240 ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับเป็นเงินสองเท่าของผลประโยชน์ที่บุคคลนั้นๆได้รับเพราะการกระทำผิด ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ค่าปรับดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนั้น บริษัท NBC อาจเข้าข่ายมีความผิดด้วย เพราะมาตรา 80 กำหนดไว้ว่า การโฆษณาชี้ชวนต่อประชาชนหรือบุคคลใดๆ ให้ซื้อหลักทรัพย์ของผู้เริ่มจัดตั้งเป็น บริษัทมหาชนจำกัด บริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์จะต้องไม่ใช้ถ้อยคำ หรือข้อความเกินจริง

มาตรา280 ระบุว่า ผู้กระทำผิดตามมาตรา80ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กฎหมายชี้ทำตัวน่าเกลียดไม่เหมาะสมต้องโดนเฉดหัวพ้นผู้บริหารด้วย
ทั้งนี้ต้องนับว่านายกนก เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงตามกฎหมาย พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มาตรา89/1 เพราะนายกนกมีตำแหน่งเป็นผู้บริหาร มีคู่สมรสคือภรรยาเป็นกรรมการบริษัท และกรรมการบริหารบริษัท ดังนั้นอาจเข้าข่้ายกระทำผิดมาตรา 89/3 ซึ่งกำหนดไว้ว่า "ต้องไม่มีลักษณะที่ แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการบริษัท มหาชนเป็นผู้ถือหุ้น" ซึ่งมาตรา 89/4 กำหนดให้พ้นตำแหน่ง เมื่อกระทำผิดดังกล่าว และจะดำรงตำแหน่งกรรมการในบริษัทต่อไปมิได้


มาตรา 89/9 วรรค 3 กำหนดด้วยว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหารนั้น ต้องกระทำไปโดยตนไม่มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในเรื่องที่ตัดสินใจนั้น

เชิญร่วมร้องเรียนกนกปั่นหุ้นและร้องให้เฉดหัวกับกลต.

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเครือเนชั่นมีพฤติการณ์ที่ใกล้ชิดเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล ายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากท่านเห็นว่ารัฐบาลอาจเพิกเฉยต่อการกระทำผิดครั้งนี้

ท่านสามารถร้องเรียนพฤติการณ์นี้ทางออนไลน์ไปยังสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.ได้ตามลิ้งค์นี้ (คลิ้ก ร้องเรียนก.ล.ต.ทางออนไลน์) หรือโทรศัพท์ร้องเรียนทางโทรศัพท์ผ่าน Help Center ที่ 0-2263-6000

กนกกับนอมินี-ภาพ คู่แต่งงานของกนกกับลักขณา รัตน์วงศ์สกุล ซึ่งล่าสุดลักขณาเป็นกรรมการNBC หุ้นใหม่เครือเนชั่นที่กำลังเสนอขายต่อประชาชน ขณะที่กนกซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทด้วยได้ใช้บทบาทสื่อโหมโฆษณาผ่านทางทีวี และวิทยุเนชั่นเกินจริงให้คนซื้อแล้วจะ"รวยเละ รวยไม่รู้เรื่อง" ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และขัดแย้งทางผลประโยชน์ ที่สำคัญคือ"น่าเกลียด"!






นอมินีของกนก-นาง ลักขณา รัตน์วงศ์สกุล ภรรยาของนายกนกเป็นกรรมการของบมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง(NBC) ส่วนนายกนกเป็นผู้บริหาร หรือแม้นายกนกจะให้นอมินีเป็นกรรมการบริษัทก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้นเมื่อ กระทำผิด เพราะกฎหมายพรบ.หลักทรัพย์ มาตรา89/1ระบุว่า"บุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง"หมายถึงคู่สมรสของกรรมการบริษัท ด้วย(ที่มาภาพ:บอร์ดบริษัทNBC)


วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

รถนำขบวนรัฐมนตรีพาณิชย์ลาว พลิกคว่ำ


รถนำขบวนรัฐมนตรีพาณิชย์ลาว พลิกคว่ำ หลังรถตู้วิ่งตัดหน้า ในเส้นทางอาเซียนเลน ห่างจากจุดประชุมสุดยอดอาเซียน เพียง 500 เมตร คนขับเจ็บเล็กน้อย ...

เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. วันนี้ (22 ต.ค.) ได้เกิดอุบัติเหตุ รถยนต์โตโยต้า แคมรี่ ซึ่งเป็นรถนำขบวนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) พลิกคว่ำ บน ถ.เพชรเกษม หน้าหมู่บ้านปาล์มวิว หัวหิน

จากการตรวจสอบ ทราบว่า จ.ส.อ.ขัตติยา ขัตติมาส เจ้าหน้าที่ขับรถนำขบวนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลาว ขับรถในเส้นทางอาเซียนเลน เส้นทางชะอำ-หัวหิน เพื่อที่จะไปเติมน้ำมัน ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุได้มีรถตู้จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ขับเข้ามาในอาเซียนเลน บริเวณจุดตัดแยก หน้าหมู่บ้านปาล์มวิว หัวหิน ทำให้ จ.ส.อ.ขัตติยา ขับหลบจนรถพลิกคว่ำข้ามเลน ส่งผลให้สภาพรถเสียหาย โดยกระจกหลังแตกหมดทั้งบาน ขณะที่ จ.ส.อ.ขัตติยา บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

อย่าง ไรก็ตาม ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ เร่งทำความสะอาดบริเวณถนนแล้ว เพื่อเปิดใช้เส้นทางอาเซียนเลน ตามปกติโดยทางการจราจร ติดขัดเล็กน้อย ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นห่างจาก โรงแรมดุสิตธานีหัวหิน สถานที่จัดการประชุมสุดยอดอาเซียน เพียง 500 เมตรเท่านั้น