วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ห า ย น ะ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ภ า ย ใ ต้ เ งื้ อ ม มื อ รั ฐ บ า ล อุ้ ม ส ม ข อง อำ ม า ต ย์

เพื่อที่จะให้สอดคล้องกับบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นอกสภาฯ จึงขอหยิบยกเรื่องราวความหายนะของประเทศไทยมานำเสนอท่านผู้อ่านเพียงบางส่วนเท่านั้น



ป ร ะ ก า ร แ ร ก

นโยบายเศรษฐกิจของตนเอง ตามหลักวิชาการไม่ปรากฎให้เห็น ไม่มีการแถลงนโยบายที่ผ่านทีมเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ กล่าวในเชิงเปรียบเทียบแล้ว ทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแบบ Dual tracts จะเรียกภาษาไทยให้ไพเราะหน่อยก็เป็น ท วิ วิ ถี หรือ คู่ขนานหรือสองแนวทาง คือด้านเศรษฐกิจรากหญ้าภายในประเทศและเศรษฐกิจระดับมหภาคระหว่างประเทศออกมาเป็นรูปธรรมก็คือ

การแก้ปัญหาคนยากจนและพวกเอสเอ็มอีกับการเพิ่มจีดีพีโดยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และการค้าระหว่างประเทศ มีการแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้คนยากจนที่อยู่ใต้เส้นความยากจนประมาณ 20 % ของประชากรลดลงมาเหลือประมาณ 10 % และลดต่ำลงอีก เกิดสวัสดิการจากรัฐในด้านการรักษาพยาบาลที่โดดเด่นที่สุดในโลก รวมทั้งอุดหนุนการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยโครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษาตั้งแต่มัธยมถึงอุดมศึกษา

โครงการเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย ขยายโอกาส โดยการสร้างแบรนด์โอทอปให้โด่งดังและเปลี่ยนจากอาชีพเสริมของปราชนในชนบท ให้เป็นรายได้หลักของประชาชน มีการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีจนมีขนาดเกือบครึ่งของจีดีพีประเทศไทย

การสร้างตลาดใหม่ ๆ เพื่อการส่งออก ทำให้กระจายความเสี่ยงได้ดี เมื่อเศรษฐกิจประเทศยักษ์ใหญ่เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ตกต่ำลงหรือชะลอตัว ทำให้การส่งออกประเทศไทย ยามมีวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จึงรุนแรงน้อยกว่า เกาหลี สิงคโปร์ เพราะเรามีการค้าประเทศอื่น ๆ มากขึ้น

ปัญหาการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอี ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย รายจิ๋ว ได้รับการดูแลเอาใจใส่รวมทั้งกองทุนหมู่บ้าน กองทุนเอสเอ็มแอล ตลอดจนสินเชื่อและโครงการที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยเช่น โครงการบ้านมั่นคง บ้านเอื้ออาทร ตัวอย่างที่ผู้เขียนยกมาเป็นเพียงบางส่วนที่เด่นดังเท่านั้น และหน่วยงานที่จะเป็นประโยชน์ได้ถูกตั้งขึ้นมาเช่น ศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบที่พยายามปรับปรุงให้ผู้ประกอบการรายย่อยไทยได้ ใช้สนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างมีแผนการ แน่นอนว่าแนวทางใหญ่นั้นรัฐเข้ามาวางแผนดูแลจัดการเศรษฐกิจไม่ได้ปล่อยตาม บุญตามกรรมแบบเศรษฐกิจการตลาดเสรีนิยมใหม่แบบเดิมของรัฐบาลประชาธิปัตย์ใน อดีต

มาถึงรัฐบาลชุดนี้นับแต่ได้รับการอุ้มสมเข้ามาเป็นรัฐบาลจากระบอบอำมาตยา ธิปไตยที่มีขุนศึกทำรัฐประหารมีตุลาการภิวัฒน์และอันธพาลครองเมือง หาได้มีแนวทางนโยบายและยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใด ๆ


ที่ผู้เขียนเห็นก็มีแต่การก็อปปี้จากนโยบายเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยเดิม ทั้งสิ้น โดยไม่กระดากอายและไร้เกียรติภูมิ ที่เคยด่าว่าเขาสาดเสียเทเสีย รวมทั้งนักวิชาการเศรษฐกิจ การเมืองที่เคยด่าว่า นโยบายเศรษฐกิจของคุณทักษิณ พากันปิดปากสนิท ไม่เห็นโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์แบบเดียวกับที่เคยโจมตีคุณทักษิณป่นปี้ไม่มี ชิ้นดีมาก่อน


เรื่องนี้เป็นการเปิดเผยตัวตของรัฐบาลประชาธิปัตย์ปัจจุบัน และนักวิชาการคอลัมนิสต์เศรษฐกิจการเมืองของค่าย นสพ. จำนวนหนึ่งว่ามีคุณค่าพอที่จะบริหารประเทศหรือคุณค่าที่จะเป็นปากเสียดงดูแล ผลประโยชน์ให้ประชาชนหรือไม่


นอกจากก็อปปี้โครงการทุกอย่างของไทยรักไทยแล้ว ยังก็อปปี้ดโครงการที่เรียกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจต่างประเทศมา
เช่น เช็คช่วยชาติและการใช้เงินกู้จำนวนมากมาถลุงเป็นก้อนใหญ่มหาศษลเป็นจำนวน หนี้สาธารณะสูงถึงประมาณ 60 % ของมูลค่าจีดีพี 9 ล้านล้านบาท โดยเอาอย่างประเทศทุนนิยมตะวันตกที่มีการพัฒนาสูงและมีรายได้จากภาษีอากร สัดส่วนสูงกว่าเรามาก



ป ร ะ ก า ร ที่ ส อ ง

ผลจากการกู้เงินมาใช้จ่ายเป็นจำนวนสูงมาก โดยไม่คำนึงถึงว่าจะสร้างประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ จะสร้างหายนะให้กับประเทศไทยที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เอาเป็นว่าอย่างแรกคือเราจะมีรายได้พอที่จะจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นจำนวน หนึ่งได้เพียงพอหรือไม่ ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดู เงินกู้ประมาณ 5 ล้านล้านบาท ที่จะถึงจำนวนนี้ใน 4 – 5 ปีข้างหน้า ดอกเบี้ยอย่างเดียว


ถ้า 1 % ก็ 5 หมื่นล้านบาท / ปี
ถ้า 2 % ก็ 1 แสนล้านบาท / ปี


นี่คิดเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น แล้วประเทศไทยจะใช้หนี้อย่างไรเกิดเป็นหนี้ทบต้นไปเรื่อย ๆ ไม่หายนะกันได้อย่างไร

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลางเปิดเผยว่า ภาคการคลังของไทยจะอ่อนแอมากในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณในการจ่ายหนี้สูงถึงปีละ 1.8 แสนล้านบาท และมีภาระงบสวัสดิการสูงมาก การ พรบ. กู้เงินและ พรก. กู้เงินใหม่ 7 – 8 แสนล้านบาททำให้ยอดการขาดดุลการคลังต่อปีสูงถึง 7 %

สัดส่วนหนี้สาธารณะสูงถึง 60 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทยปัจจุบันนี้จะจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าสามหมื่น ล้านต่อปี (แต่จะถึงแสนล้านบาทใน 4 – 5 ปีข้างหน้า) นี่ถ้าคิดดอกเบี้ย 3 % ยิ่งหนักอีกเพราะรัฐบาลนี้ขายพันธบัตรให้คนร่ำรวยในประเทศให้ดอกเบี้ยสูง ถึง 4 % ต่อปี

ปัจจุบันนี้ต้องชำระหนี้ (เงินต้นบวกดอกเบี้ย) เฉลี่ยปีละ 1.5 แสนล้านบาทอยู่แล้ว

“ก็น่าจะเพิ่มเป็น 2 แสนล้านบาทต่อปีในเร็ววันนี้”


ประโยคหลังนี้เป็นของผู้เขียน แล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไรในเมื่อรายได้ลดแต่รายจ่ายเพิ่มจนน่าตกใจ




ป ร ะ ก า ร ที่ ส า ม

การจ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้ประโยชน์ แต่ใช้เพื่อหาคะแนนนิยม ซ้ำมีการคอร์รัปชั่นโกงกินหาผลประโยชน์อย่างมูมมาม กินเล็กกินน้อย ตั้งแต่ปลากระป๋องเน่าในถุงยังชีพ โครงการชุมชนพอเพียง ที่โกงเงินชุมชน โครงการคอร์รัปชั่นของไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุขนี้ล้วนมีหลักฐานที่ ถูกเปิดโปงมากแล้วทั้งสิ้น แต่ที่รอการเปิดโปงมีอีกมากมาย

โครงการไทยเข้มแข็งที่แบ่งตามกระทรวงต่าง ๆ เห็นชัดว่าเป็นการแบ่งเค้กทางการเมืองให้กับพรรคร่วมรัฐบาลเต็มที่ โครงการต่าง ๆ จำนวนมากก็เป็นโครงการเดิม ๆ ที่กลุ่มเนวิน และเพื่อนพ้องทำไว้ตั้งแต่รัฐบาลพลังประชาชนจำนวนหนึ่งและแบ่งเค้กใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกโดยมิได้มียุทธศาสตร์เศรษฐกิจแต่ประการใด เป็นโครงการใครเข้มแข็ง ?

ที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันหมดในปัจจุบัน ผู้รับเหมากลุ่มใดจะได้ประโยชน์ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด ระดับชาติ จะเปิดเผยตัวตนออกมาว่าเกี่ยวข้องกับนักการเมืองร่วมรัฐบาลเพียงใด การถลุงเงินก้อนใหญ่ที่กู้มากที่สุดของประเทศไทยหลายล้านล้านบาท

ครั้งนี้หวังจะใช้เงินสร้างฐานเสียให้แน่นหนาในภูมิภาคของพรรคร่วมรัฐบาล โดยหวังบดขยี้พรรคฝ่ายค้านด้วยอำนาจเงินจากภาษีอากรประชาชนก้อนมหึมาและ อำนาจรัฐที่หนุนช่วยของระบอบอำมาตยาธิปไตยเพื่อจะได้กุมอำนาจรัฐถาวรโดยวิธี ที่ไม่สนใจว่าประเทศจะหายนะอย่างไร เท่ากับเอาประเทศชาติเป็นเดิมพันเอาไปจำนองจำนำ

นี่เป็นวิธีคิดแบบเดียวกับกองกำลังอันธพาลนอกระบบอนุรักษ์นิยมที่ยึดสนาม บินสุวรรณภูมิ สนามบินท้องถิ่น บุกยึดทำเนียบรัฐบาล สถานที่ราชการที่ไม่นำพากับหายนะประเทศไทย ผู้นำกองทัพที่ทำรัฐประหารก็คิดแบบนี้เช่นกัน ไม่สนใจว่าประเทศชาติจะหายนะ ทำการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ตั้งงบประมาณให้หน่วยงานความมั่นคง กระทรวงกลาโหมสูงขึ้นกว่าเดิมมากมาย

มาถึงพรรครัฐบาลของอำมาตย์กู้เงินและใช้จ่ายถลุงกันวายวอด ทั้งเพี่มเงินเดือน โบนัส ค่าตอบแทน เอาเฉพาะค่ารักษาพยาบาลข้าราชการก็สูงถึงเกือบ 7 หมื่นล้านบาทต่อปี นโยบายที่ออกใหม่ ๆ ขณะนี้ยังล้ามเหลวเช่น ประกันราคาข้าว ทำให้ราคาข้าวดิ่งเหว สวนตลาดโลก ถูกทุบเหลือ 5 พันต่อตัน ต้องชดเชยนับแสนล้านบาท นี่คือหายนะประเทศไทยทั้งประเทศชาติและประชาชนภายใต้เงื้อมมืออำมาตยา ธิปไตยแท้จริง


คัดจากคอลัมภ์ เศรษฐกิจ
โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ
จาก นสพ. ความจริงวันนี้ ฉบับวันที่ 27 - 29 ตุลาคม 2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น